Redmi 9 และ Redmi 9a สองสมาร์ทโฟนรุ่นเล็กราคาสุดคุ้มจาก Xiaomi ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนในราคา 3,899 บาท และกรกฎาคมในราคา 2,799 บาท ตามลำดับ ทั้งคู่มีขนาดหน้าจอเท่ากันเป๊ะ ๆ ที่ 6.53 นิ้ว และแบตเตอรี่ขนาดบิ๊กเบิ้ม 5,000 mAh แต่ราคาห่างกันประมาณพันนึง รุ่นไหนจะคุ้มค่าและน่าสนใจกว่ากัน สามารถติดตามได้ในบทความนี้เลย

รูปลักษณ์และดีไซน์ภายนอก

การออกแบบของทั้ง Redmi 9 และ Redmi 9a อาจจะไม่ได้หวือหวาอะไรมาก แต่งานประกอบเนี้ยบไร้ที่ติเลย บีบ ๆ จับ ๆ ไปไม่มียวบยาบแม้แต่นิดเดียว ปุ่มกดก็ยังแน่นดีทุกปุ่มอีกด้วย โดยวัสดุตัวเครื่องของมือถือทั้งสองรุ่นจะเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตเหมือน ๆ กัน ซึ่งเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมสูงในสมาร์ทโฟนระดับล่าง-กลาง เนื่องจากมีความทนทาน ยืดหยุ่นสูง และมีน้ำหนักเบา


มีทั้งขนาดและน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน วัสดุเป็นโพลีคาร์บอเนตเหมือนกัน

ที่ด้านหน้าตัวเครื่องของทั้งคู่จะพบกับหน้าจอ IPS LCD ขนาด 6.53 นิ้ว มีกล้องเซลฟี่แบบหยดน้ำและลำโพงอยู่ด้านบนซึ่งจะซ่อนไปกับตัวเครื่องอย่างแนบเนียน ซึ่งทั้งคู่มีทั้งขนาดหน้าจอและดีไซน์ด้านหน้าที่เหมือนกันจนมองจากด้านหน้าจะไม่สามารถแยกได้เลยว่า รุ่นไหนเป็นรุ่นไหน


มองจากด้านหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ

การวางตำแหน่งของปุ่มและช่องต่าง ๆ บนเฟรมเครื่องของ Redmi 9 และ Redmi 9a ก็จะเหมือนกันแทบทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มพาวเวอร์ที่ด้านขวา ช่องถาดซิมแบบ triple slot ที่สามารถใส่ได้ทั้งสองซิม + microSD card พร้อมกันในคราวเดียว ซึ่งจะอยู่ที่ด้านซ้าย


การจัดวางปุ่มต่าง ๆ อยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกัน


มีถาดซิมแบบ triple slot ทั้งคู่

ที่ด้านล่างเริ่มจะมีความแตกต่างกันบ้างแล้ว เพราะ Redmi 9 จะมากับพอร์ต USB Type-C และมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.อยู่ด้านซ้ายสุดด้วย ในขณะที่ Redmi 9a จะมากับพอร์ต Micro-USB ส่วนช่องเสียบหูฟังจะไปอยู่ที่ด้านบนแทน รวมถึงเซ็นเซอร์อินฟาเรดด้านบนที่ถูกตัดออกไปใน Redmi 9a ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่แตกต่างกัน


Redmi 9 มาพร้อม USB Type-C / Redmi 9a มาพร้อม Micro-USB

สุดท้าย ที่ด้านหลังจะเป็นส่วนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นมีการออกแบบบริเวณด้านหลังต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย Redmi 9 จะให้ความรู้สึกว่า “โดดเด่นกว่า” อย่างเด่นชัดในส่วนนี้ เพราะมันจะมาพร้อมกับกล้องหลังถึง 4 ตัว อีกทั้งยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้วย และทั้งหมดจะวางเรียงกันในแนวตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของฝาหลัง แตกต่างจาก Redmi 9a ที่จะมีกล้องหลังเพียงตัวเดียวที่บริเวณมุมซ้ายบน


4 เลนส์ ปะทะ 1 เลนส์

หน้าจอแสดงผล

ทั้ง Redmi 9 และ Redmi 9a มีหน้าจอแสดงผลขนาด 6.53 นิ้ว เท่ากัน และเลือกใช้พาแนลชนิด IPS LCD เหมือนกัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่หน้าจอของ Redmi 9 จะมีความละเอียดสูงกว่าที่ระดับ Full HD+ ส่วน Redmi 9a จะได้แค่ HD+ เฉย ๆ อย่างไรก็ดีถ้าเทียบกับพาแนลชนิดเดียวกันแล้ว ทั้งคู่ถือว่าทำได้ดีทั้งเรื่องของสีสันและความคมชัด การแสดงผลสีค่อนข้างสม่ำเสมอทั่วทั้งหน้าจอ


Redmi 9 (บน) มีคอนทราสต์เรโชดีกว่าเล็กน้อย แต่อมแดง / Redmi 9a (ล่าง) อมเขียว

สามารถปรับการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ คือ auto, saturated และ standard หรือจะปรับอุณหภูมิสีเองตามอิสระก็ทำได้ มีจุดสังเกตตรงที่หน้าจอของทั้งคู่จะอมฟ้าอยู่นิดหน่อย Redmi 9 จะติด tint แดง ส่วน Redmi 9a จะติด tint เขียว และมีความสว่างสูงสุดเพียง 400 nt สู้แสงได้ไม่ดีนัก ตรงนี้ก็เป็นไปตามข้อจำกัดของหน้าจอชนิด IPS LCD จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แต่ถ้าใช้ภายในอาคารล่ะก็เหลือเฟือ

การเชื่อมต่อ

แม้จะมีราคาเปิดตัวที่ถูกมาก ๆ แต่ Redmi 9 ใส่มาเต็มไม่มีกั๊ก ทั้ง USB Type-C, Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi a/b/g/n/ac นอกจากนี้ยังมี IR blaster สำหรับใช้งานเป็นรีโมต และมีวิทยุ FM ในตัวที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียบหูฟังอีกต่างหาก (แต่จะเสียบก็ได้นะ ให้เป็นเหมือนเสาอากาศ จะได้รับคลื่นวิทยุได้ดีขึ้น) ส่วน Redmi 9a ที่มีราคาถูกกว่าจะโดนตัดออกไปทั้ง Wi-Fi ac และ IR blaster พอร์ตก็โดนลดสเปคลงจาก USB Type-C เป็น Micro-USB และวิทยุ FM ก็มีมาให้แต่จะไม่สามารถใช้งานแบบไม่เสียบหูฟังได้ ส่วนที่เหลือก็จะเหมือน ๆ กันหมด

UI และฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

หากใครที่เคยใช้สมาร์ทโฟนของ Xiaomi มาก่อน ก็คงจะคุ้นเคยกับ UI ของ Redmi 9 เป็นอย่างดี เพราะมันจะมาพร้อมกับ MIUI 11 บน Android 10 นั่นเอง นอกจากจะมี IR blaster สำหรับใช้งานเป็นรีโมต และมีวิทยุ FM ในตัวตามที่กล่าวไว้ด้านบนแล้ว ฟีเจอร์หลักอื่น ๆ ก็มีมาให้ครบทั้ง Game Turbo, Second Space, Mi Share อีกทั้งยังสามารถบันทึกวิดีโอหน้าจอได้อีกด้วย


หน้าตา Control center แบบใหม่บน MIUI 12 ของ Redmi 9a

ทางด้าน Redmi 9a ถือข้อได้เปรียบที่เปิดตัวมาทีหลัง เพราะมันจะมาพร้อมกับ MIUI 12 ตั้งแต่แกะออกจากกล่องเลย มีการปรับปรุง UX/UI และอนิเมชั่นการแสดงผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบางจุด รวมถึงมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้าไป เช่น Dark mode 2.0 ที่อัปเกรดความสามารถให้สามารถเปิดใช้งานได้กับแอป third party ได้ ฟีเจอร์ Floating windows เปิดใช้งานแอปเป็นหน้าต่างเล็ก ๆ ลากไปมาได้ เพื่อใช้งานควบคู่ไปกับแอปอื่น และมีการยกระดับความเป็นส่วนตัวขึ้นอีกขั้น หากเราแชร์ภาพถ่ายก็จะสามารถกำหนดได้ว่า จะแชร์ meta data และแท็กที่ฝังอยู่ในไฟล์ด้วยหรือไม่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้ Redmi 9a จะมากับ MIUI ในเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่า แต่ดูเหมือนว่า ฟีเจอร์ Game Turbo, Dual apps และ Second space จะถูกตัดออกไป


Dark mode 2.0 บน MIUI 12 ของ Redmi 9a รองรับการใช้งานร่วมกับแอป third party

เปรียบเทียบฟีเจอร์บางส่วนระหว่าง Redmi 9 (ซ้าย) และ Redmi 9a (ขวา)

ประสิทธิภาพ ความแรง และหน่วยความจำ

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพชิปเซ็ต Helio G80 ที่อยู่ใน Redmi 9 และ Helio G25 ที่อยู่ใน Redmi 9a ด้วย Geekbench 5 แล้ว ปรากฏว่า ฝ่ายแรกทำคะแนน single-core ได้ 351 คะแนน และ multi-core ได้ 1342 คะแนน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับฝ่ายหลังที่ทำได้เพียง 133 คะแนน และ 439 คะแนน จะเห็นได้ว่า แตกต่างกันพอสมควร โดยจากการใช้งานจริงเองก็ให้ผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะ Redmi 9a ออกอาการหน่วงและประมวลผลช้าให้เห็นอยู่บ้างเป็นระยะ

ต่อด้วยการทดสอบประสิทธิภาพหน่วยความจำด้วย AndroBench 5 กันบ้าง สำหรับ Redmi 9 ในรุ่นเริ่มต้นจะมาพร้อมหน่วยความจำ 32GB + RAM 3GB และจะมีอีกโมเดลคือ 64GB + 4GB ในขณะที่ Redmi 9a มีเพียงโมเดลเดียวคือ 32GB + RAM 2GB ซึ่งจะเป็นหน่วยความจำแบบ eMMC 5.1 เหมือนกันทั้งหมด

จากผลการทดสอบจะเห็นได้ว่า Redmi 9 ในโมเดล 64GB + RAM 4GB ทำคะแนนอ่านเขียนได้ประมาณ 300 MBps และ 250 MBps ทางด้าน Redmi 9a ทำคะแนนอ่านเขียนได้ประมาณ 250 MBps และ 150 MBps ทดสอบซ้ำหลายรอบได้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่

การเล่นเกม

สำหรับการเล่นเกมนั้น Redmi 9 มีฟีเจอร์ Game Turbo ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขณะเล่นเกม แม้จะปรับตั้งค่าได้ไม่ละเอียดเท่ารุ่นบน ๆ แต่ประสิทธิภาพของตัวเครื่องก็ยังแรงเพียงพอที่จะเล่นเกมฮิต ๆ ทั่วไปได้อย่างไม่สะดุดเลย (ปรับกราฟิกระดับกลาง)


เล่น RoV ได้นิ่ง ๆ ที่ 30fps

ฝั่งรุ่นน้องอย่าง Redmi 9a ตอนแรกผมคิดว่า มันคงจะไม่รอดซะแล้วในการทดสอบนี้ เพราะชิปเซ็ตมีประสิทธิภาพด้อยกว่า ไม่มี Game Turbo มาช่วย และตอนเข้าเกม RoV ก็หน่วงพอสมควร แต่พอเข้าเกมไปเล่นจริง ๆ กลับเล่นได้ลื่น ๆ นิ่ง ๆ ซะงั้น แต่ก็นั่นแหละ ในหน้าจอปรกติยังคงหน่วง ๆ อยู่ดี ด้วยสเปคของมันคงเหมาะที่จะเล่นเกม 2D ซะมากกว่า

กล้องและการถ่ายภาพ

ในส่วนของกล้องถ่ายภาพ Redmi 9 มีกล้องหลังมาให้ถึง 4 ตัว ได่แก่ กล้องหลัก 13 MP, กล้องมุมกว้าง 8 MP, กล้องมาโคร 5 MP และกล้องจับความลึก 2 MP มีโหมดโปรที่รองรับการใช้งานกับกล้องทุกตัว สามารถลากความเร็วชัตเตอร์ได้นานถึง 30 วินาที และตั้งค่า ISO สูงสุดได้ถึง 3200


ถ่ายในสภาวะแสงกลางแจ้งพบว่า Redmi 9a มีปัญหาเรื่อง white balance เด้งไปเด้งมาพอสมควร อย่างในภาพนี้ก็ติดเหลือง


เปรียบเทียบความกว้างระหว่างเลนส์ wide และ ultra-wide ของ Redmi 9


เลนส์ macro ของ Redmi 9 เป็นแบบ fixed-focus ไม่สามารถปรับได้ มีระยะการโฟกัสใกล้ที่สุดดังภาพ


เป็นอีกหนึ่งภาพที่แสดงให้เห็นว่า Redmi 9a (ขวา) มีปัญหาเรื่อง white balance

ในขณะที่ Redmi 9a มีเพียงกล้องหลังตัวเดียว ด้วยความละเอียด 13MP แต่จะสามารถลากความเร็วชัตเตอร์ค้างไว้ได้นานกว่านิดหน่อยที่ 32 วินาที แต่ว่ากันด้วยความสัตย์จริง กล้องของทั้งคู่ไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่ อยู่แค่ในระดับพอใช้ได้เท่านั้น แม้ว่า ภาพของ Redmi 9 จะดูคมไม่เท่า Redmi 9a เพราะซอฟต์แวร์มีการเติม sharpness เข้าไปน้อยกว่า แต่ในความเป็นจริงคือ มันสามารถเก็บ detail/texture มาได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นบริเวณกลางภาพหรือขอบภาพก็ตาม


Redmi 9 (ซ้าย) จัดการกับ texture/detail ได้ดีกว่าและมีไดนามิกเรนจ์กว้างกว่าเล็กน้อย


ครอปที่ 100% มองเผิน ๆ ดูเหมือน Redmi 9a (ขวา) มีความคมชัดมากกว่า เป็นเพราะเร่ง sharpness เยอะ

แบตเตอรี่และการจัดการพลังงาน

แบตเตอรี่ความจุมหึมา 5,000 mAh ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของมือถือทั้งสองรุ่น เท่าที่ลองใช้มา ทั้งคู่สามารถจัดการพลังงานได้อย่างน่าพึงพอใจ ใช้ข้ามวันได้อย่างไม่ต้องมาคอยกังวล Redmi 9 จะรองรับชาร์จไว 18W ส่วน Redmi 9a จะรองรับชาร์จไว 10W แต่บอกไว้ก่อนว่า อะแดปเตอร์ที่แถมมาในกล่องจะเป็นแบบ 10W ทั้งคู่

สเปค Redmi 9 และ Redmi 9a

Redmi 9Redmi 9a
หน้าจอIPS LCD ขนาด 6.53 นิ้ว
ความละเอียด Full HD+ 1080 x 2340 พิกเซล
สัดส่วน 19:5.9 (395 ppi)
ความสว่างสูงสุด 400 nt
IPS LCD ขนาด 6.53 นิ้ว
ความละเอียด HD+ 720 x 1600 พิกเซล
สัดส่วน 20:9 (269 ppi)
ความสว่างสูงสุด 400 nt
ชิปเซ็ตMediaTek Helio G80 (12 นาโนเมตร)MediaTek Helio G25 (12 นาโนเมตร)
หน่วยความจำ32 GB + RAM 3GB
64 GB + RAM 4GB
eMMC 5.1
รองรับ microSD card
32GB + RAM 2GB
eMMC 5.1
รองรับ microSD card
กล้องหลังwide 13MP (f/2.2), 28 มม., 1/3.1 นิ้ว, 1.12µm, PDAF
ultra-wide 8MP (f/2.2), 118 องศา, 1/4.0 นิ้ว, 1.12µm
macro 5MP (f/2.4)
depth 2MP (f/2.4)
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p@30fps
wide 13MP (f/2.2), 28 มม., PDAF
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p@30fps
กล้องหน้า8MP (f/2.0)
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p@30fps
5MP (f/2.0)
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p@30fps
การเชื่อมต่อWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot
Bluetooth 5.0, A2DP, LE
วิทยุ FM (ไม่จำเป็นต้องเสียบหูฟัง)
USB Type-C 1.0
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot
Bluetooth 5.0, A2DP, LE
วิทยุ FM
Micro-USB 2.0
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (ด้านหลัง), accelerometer, proximity, compassaccelerometer, proximity
แบตเตอรี่5,020 mAh รองรับชาร์จไว 18W5,000 mAh รองรับชาร์จไว 10W
ระบบปฏิบัติการMIUI 11 บน Android 10MIUI 12 บน Android 10
ขนาด163.3 x 77 x 9.1 มม.164.9 x 77 x 9 มม.
น้ำหนัก198 กรัม196 กรัม
สีCarbon Gray, Sunset Purple, Ocean GreenCarbon Gray, Sky Blue, Ocean Green
ราคา32 GB + RAM 3GB 3,899 บาท
64 GB + RAM 4GB 4,599 บาท
2,799 บาท

สรุป

จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า Redmi 9 เป็นต่อในแทบทุกด้าน ด้วยราคาที่ห่างกันแค่ประมาณพันนึง แต่ได้เพิ่มมาทั้ง หน้าจอ Full HD+, ชิปเซ็ตที่แรงกว่า, หน่วยความจำมากกว่า, กล้องหลัง 4 ตัว, ชาร์จไวกว่า, Wi-Fi 5G และ USB Type-C มองจากมุมไหนก็ดูคุ้มกว่าแน่ ๆ

ส่วนสำคัญที่ทำให้ Redmi 9a ถูกหักคะแนนไปเยอะ เป็นเพราะอาการหน่วงแบบแปลก ๆ ของมัน ตรงส่วนนี้ก็ไม่แน่ใจว่า เกิดจากตัว MIUI 12 รึเปล่า ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า Xiaomi คงจะมีการปรับปรุงแก้ไขในอนาคตต่อไป แต่ถึงจะตัดเรื่องความหน่วงออกไป ยังไงก็ดูจะสู้ Redmi 9 ไม่ได้อยู่ดี เพราะด้อยกว่าแทบทุกด้านเลย