จาก Keynote ของงาน Samsung Developer Conference 2017 เมื่อเช้านี้ (แต่เที่ยงคืนของไทย) ได้มีหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับนักพัฒนาที่น่าสนใจมากมาย จึงขอเอามาเล่าให้ได้อ่านกันครับว่าในปีนี้เทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยีของ Samsung นั้นเป็นยังไงบ้าง

ในปีนี้คอนเซปต์ของ Samsung นั้นคือ Connected Thinking ซึ่งจะเน้นไปที่การทำให้บริการหรืออุปกรณ์ต่างๆของ Samsung ที่มีอยู่มากมายทุกวันนี้สามารถเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้ รวมไปถึงเปิดให้นักพัฒนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน

ซึ่ง Keynote ของงานนี้จะพูดถึงเรื่องต่างๆของ Samsung ที่เกี่ยวข้องกับนักพัฒนา ดังนี้

  • Bixby
  • Television & Refrigerator
  • SmartThings
  • AR

 

Bixby

Bixby นั้นเป็น Assistance ของ Samsung ที่พัฒนาขึ้นมาและเปิดใช้งานใน Samsung S8 รวมไปถึง Note 8 ที่ล่าสุดได้มีผู้ใช้งานมากถึง 10 ล้านคนใน 200 ประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งใน Keynote ก็ได้มีการโชว์ความสามารถของ Voice Command เล็กน้อย โดยสั่งให้แสดงภาพของคนที่ต้องการใน Gallery แล้วสั่งให้เลือกรูปแรกสุดแล้วแชร์ลง Twitter

ในทุกวันนี้ผู้ใช้มือถือส่วนใหญ่นั้นใช้งานความสามารถบนมือถือตัวเองแค่ 10% เท่านั้น เพราะว่าด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลายมากมายทำให้การเข้าใช้งานในแต่ละฟีเจอร์จึงซับซ้อนมากขึ้นไปด้วย จีงทำให้ Bixby ถูกสร้างขึ้นมาเป็นตัวกลางเพื่อทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งานฟีเจอร์ต่างๆของมือถือได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องไปนั่งกดหาวิธีเข้าเมนูต่างๆให้ยุ่งยาก

Project Ambience

ใน Keynote ได้มีการพูดถึงโปรเจคที่ชื่อว่า Project Ambience ที่เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้สามารถใช้งาน Bixby ผ่าน Cloud ไม่ต้องใช้งานผ่านมือถือ ซึ่งสามารถเปลี่ยนลำโพงธรรมดาๆให้กลายเป็นลำโพงที่มี Assistance ในตัวและทำงานร่วมกับ Smart Device ตัวอื่นๆภายในบ้านได้

โดยมีการ Demo ด้วยการเสียบกับลำโพงธรรมดาๆตัวหนึ่ง แล้วถามข้อมูลต่างๆกับอุปกรณ์ดังกล่าว มันก็จะต่อกับ Bixby Service แล้วตอบกลับมาผ่านลำโพงที่ต่ออยู่ รวมไปถึงการสั่งให้เปิดวีดีโอบน YouTube ซึ่งมันก็จะไปสั่ง TV ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อเปิดวีดีโอนั้น

ว่ากันง่ายๆมันก็จะคล้ายกับ Google Home น่ะแหละ แต่ทว่าตัวมันจะมีแค่ไมค์และ WiFi เท่านั้น มีขนาดเล็กมาก เวลาจะใช้งานอุปกรณ์ตัวนี้จะต้องต่อกับลำโพงอะไรก็ได้ผ่านช่องเสียบ 3.5mm

แต่โปรเจคตัวนี้ยังเป็น Prototype อยู่เท่านั้นนะครับ ต้องรอดูว่าจะมีการทำออกมาวางขายเมื่อไรและราคาเท่าไร รวมไปถึงรายละเอียดต่างๆของอุปกรณ์ตัวนี้ด้วย ว่าเชื่อมต่อกับอุปกรณ์แบบไหนได้บ้าง และเจ้าไหนยี่ห้อไหนบ้าง

Bixby 2.0

จากเดิมที่ Bixby 1.0 นั้นเปิดตัวขึ้นมาและใช้งานภายใต้ Samsung เท่านั้น จึงทำให้มันพัฒนาและเติบโตได้ช้ากว่า Assistant เจ้าอื่นๆ เพราะมีทรัพยากรที่จำกัด ดังนั้น Bixby 2.0 จึงถูกเปิดตัวขึ้นมาด้วยการเปิดให้นักพัฒนาภายนอกสามารถเข้ามาใช้งานความสามารถของ Bixby ได้ทั้งหมด ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในขณะเดียวกัน Bixby ก็จะค่อยๆฉลาดขึ้นจากการถูกใช้งานด้วย

ด้วยรูปแบบการทำงานของ Bixby 2.0 ที่มีการใช้ Deep Learning เป็นหัวใจหลัก จะทำให้ Bixby ที่อยู่ในเครื่องของผู้ใช้แต่ละคนจะมีความแตกต่าง เพราะมันจะเรียนรู้ผู้ใช้ตลอดเวลาและปรับการทำงานให้เหมาะสมกับผู้ใช้คนนั้นๆ

และสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการใช้งานเจ้า Bixby 2.0 นี้ ทาง Samsung ก็ได้ปล่อย Bixby SDK ออกมา เพื่อให้นักพัฒนาสามารถนำไปใช้กับแอปฯของตัวเองได้ตามใจชอบ

 

Television & Refrigerator

Television

TV นั้นถือว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทุกบ้านแทบจะต้องมี และ Samsung ก็มองว่า TV นั้นเป็นหัวใจสำคัญที่จะเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้านให้ทำงานร่วมกัน และได้ประกาศว่าในปี 2018 จะมีการใส่ Bixby ไว้ใน Smart TV รุ่นใหม่ๆของ Samsung ไว้ด้วย จะไม่ได้อยู่แค่บนมือถืออีกต่อไป

และนอกจากนี้ยังสามารถล็อกอินบริการต่างๆจากบนมือถือได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น Google Play Movies & TV หรือ Video จากบน Facebook ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิด Content เหล่านี้จากบนมือถือแล้วสั่งให้แสดงผลบน TV ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น

นั่นหมายความว่าแนวโน้มในทีวีของ Samsung จะฉลาดขึ้นและสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆได้มากขึ้น

Refrigerator

ห้องครัวถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีคนเดินผ่านมากที่สุดในบ้านเลยก็ว่าได้ เพราะว่าห้องครัวนั้นเป็นห้องที่ทุกๆคนในบ้านจะต้องใช้ และตู้เย็นก็เป็นหัวใจสำคัญของบ้านเช่นกัน เรียกได้ว่าถ้าหัวใจของห้องนั่งเล่นคือ TV สำหรับห้องครัวก็คือตู้เย็นนั่นเอง

จึงทำให้ Samsung พัฒนา Family Hub ขึ้นมา ซึ่งเป็น Smart Refrigerator ที่อำนวยความสะดวกของทุกๆคนในบ้าน ส่วนเหตุผลที่ต้องเป็นตู้เย็นก็เพราะว่ามันเป็นอุปกรณ์เพียงไม่กี่ตัวภายในบ้านที่ทำงานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยตู้เย็นดังกล่าวจะมีหน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่เพื่อแสดงข้อมูลและแอปฯต่างๆที่จำเป็นต่อทุกคนภายในบ้าน อย่างเช่นการใช้ Image Recognition เพื่อวิเคราะห์ของในตู้เย็นแล้วแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อวัตถุดิบในตู้เย็นใกล้จะหมดแล้ว

โดยเปิดให้นักพัฒนาทั่วไปเข้ามาสร้างสรรค์แอปฯของตัวเองเพื่อทำงานอยู่บนตู้เย็นอัจฉริยะตัวนี้ได้เช่นกัน และในอนาคตก็จะมีการนำ Bixby มาใส่ไว้ใน Family Hub ด้วยเช่นกัน

เพิ่มเติม – สำหรับ TV และ ตู้เย็นของ Samsung นั้นจะใช้เป็น Tizen ทั้งคู่ เวลานักพัฒนาอยากจะสร้างแอปฯที่ทำงานบนอุปกรณ์เหล่านี้ก็จะต้องทำผ่าน Tizen Studio ซึ่งจะมีชุดพัฒนาสำหรับแต่ละอุปกรณ์ให้ใช้งาน ส่วนการทดสอบกับอุปกรณ์เหล่านี้ถ้าไม่สามารถหาเครื่องจริงมาทดสอบได้ (แต่ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่ลงทุนซื้อตู้เย็นมาเพื่อเขียนแอปฯหรอก) ทาง Samsung จะมีบริการที่เรียกว่า Remote Test Lab ที่ให้เราสามารถทดสอบแอปฯผ่านอินเตอร์เน็ตโดยติดต่อกับอุปกรณ์จริงๆที่ทาง Samsung เตรียมไว้ให้

 

SmartThings Cloud

ในการพัฒนาอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ IoT มันไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น Samsung จึงเปิดตัว SmartThings Cloud ซึ่งเป็นบริการที่จะทำให้ Samsung ARTIK, SmartThings และ Samsung Connect สามารถทำงานร่วมกันได้ เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถทำงานบน Platform เหล่านี้ได้ง่ายขึ้น

และได้เปิดตัวชิปใหม่ในตระกูล ARTIK ที่เรียกว่า Secure System-on-Module ที่เป็นชิปสำหรับ IoT ช่วยจัดการเรื่องความปลอดภัยในตัวให้แล้ว จากเดิมที่ต้องทำเอง (ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย) โดยมีความสามารถที่เกี่ยวกับด้านความปลอดภัยดังนี้

  • Secure Boot
  • Trusted Execution Environment
  • Hardware Root of Trust from Deice to Cloud
  • Security-Enabling Service

ซึ่งความสามารถในด้านความปลอดภัยเหล่านี้ เป็นความสามารถที่ถูกใช้อยู่ใน Samsung Knox บนอุปกรณ์แอนดรอยด์ของ Samsung นั่นเอง

 

AR

นอกเหนือจาก VR แล้ว ก็มีการโฟกัสในเรื่องของ AR ด้วยเช่นกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าความสามารถของ Bixby Vision บางส่วนต้องมีการใช้ AR เข้ามาช่วย โดยร่วมมือกับ Google เพื่อที่จะพัฒนา Bixby Vision ให้เก่งขึ้นโดยใช้ ARCore เข้ามาช่วย

และการร่วมมือของ Samsung และ Google จึงเป็นที่มาว่า ARCore ของ Google ในตอนนี้นอกจากจะรองรับอยู่บน Google Pixel แล้ว ยังรองรับกับ S8 และ Note 8 ของ Samsung ด้วย

 

สรุป

ด้วยเทรนด์ของเทคโนโลยีในปัจจุบันที่เน้นไปในด้าน AI จึงทำให้พระเอกของ Keynote ในงานนี้ก็คงไม่พ้นเจ้า Bixby ที่ถูกพูดถึงบ่อยมาก และจะถูกนำไปใช้กับสินค้าอย่างอื่นของ Samsung

แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของ Bixby ก็คือการที่ตัว Bixby เปิดให้นักพัฒนาสามารถใช้งาน SDK ได้ ฝั่งนักพัฒนาก็ได้ใช้ประโยชน์จาก Bixby ได้อย่างเต็มที่ ส่วนทาง Samsung ก็จะได้พัฒนา Bixby ให้เก่งเทียบเท่าเจ้าใหญ่ๆอย่าง Google หรือ Apple ด้วย เรียกได้ว่า Win-Win กันทั้งสองฝ่าย

และนอกเหนือจาก Bixby แล้ว ก็จะเห็นว่า Samsung ได้พยายามสร้าง Platform ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมกับโปรดักส์ต่างๆของ Samsung ขึ้นมาเพื่อทำเป็น Ecosystem ของ Samsung เอง เช่นกัน แต่ก็เป็น Ecosystem ที่เปิดให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน

จริงๆแล้วภายในงานยังมีอะไรหลายๆอย่างที่น่าสนใจมากมาย ไว้เดี๋ยวผมจะเก็บมาเล่าทีหลังนะครับ ขอไปเดินเล่นก่อน  😆