เปิดตัวกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy Note ทั้ง 2 รุ่นเองอย่าง Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ และสำหรับใครที่กำลังเล็งๆ ไว้แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะสอยตัวไหนดี ทั้งสองรุ่นนี้มีความเหมือนหรือความแตกต่างกันตรงไหนอย่างไรเปล่า มาหาคำตอบกันไปพร้อมๆ กันที่บทความนี้กันได้เลยครับ

เปรียบเทียบสเปค Galaxy Note 10+ และ Galaxy Note 10 

Galaxy Note 10+Galaxy Note 10
 
หน้าจอDynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ รองรับการแสดงผล HDR10+Dynamic AMOLED ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รองรับการแสดงผล HDR10+
CPU Exynos 9825Exynos 9825
GPUMali-G76Mali-G76
RAM 12GB8GB
ความจุ256GB UFS 3.0 รองรับ MicroSD256GB UFS 3.0

กล้องหลัง 

เลนส์ tele 2X 12 MP (f/2.4), OIS

เลนส์ Wide 12MP (f/1.5, f/2.4), OIS

เลนส์ Ultra Wide 16MP (f/2.2)

Depth Vision

เลนส์ tele 2X 12 MP (f/2.4), OIS

เลนส์ Wide 12MP (f/1.5, f/2.4), OIS

เลนส์ Ultra Wide 16MP (f/2.2)

กล้องหน้า10MP (f/2.2) + Night Vision10MP (f/2.2) + Night Vision
ระบบเสียง ลำโพงสเตอรีโอ, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟังลำโพงสเตอรีโอ, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟัง
เซนเซอร์fingerprint (บนหน้าจอ), accelerometer, barometer, compass, brightness sensor, proximity detection, gyroscopefingerprint (บนหน้าจอ), accelerometer, barometer, compass, brightness sensor, proximity detection, gyroscope
การเชื่อมต่อWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0
แบตเตอรี่4,300 mAh รองรับชาร์จไว 45W3,500 mAh รองรับชาร์จไว 25W
ระบบปฏิบัติการAndroid 9 Pie ครอบทับด้วย OneUIAndroid 9 Pie ครอบทับด้วย OneUI
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นIP68IP68

มาเริ่มกันที่หน้าจอก่อน ทั้ง Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ต่างใช้หน้าจอแบบเดียวกันก็คือหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED จะมีความแตกต่างกันก็ตรงที่ขนาดของหน้าจอและความละเอียดครับ โดย Note 10 จะมีขนาดอยู่ที่ 6.3 นิ้ว ความละเอียดเป็นแบบ FHD+ ส่วน Note 10+ จะมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 6.8 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ ทั้งคู่ใช้กระจกแบบเดียวกันคือ Gorilla Glass 6 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เรียกได้ว่าใส่ไว้ในกระเป๋าพร้อมกับพวงกุญแจหรือคัตเตอร์ก็สบายหายห่วงเลยล่ะ

ขนาดของทั้ง 2 รุ่นก็ทำออกมาใกล้เคียงกันเลย โดย Note 10+ นั้นจะมีขนาดที่กว้างและยาวกว่าเล็กน้อย ส่วนในเรื่องของน้ำหนักตัวเครื่อง Note 10+ ก็หนักกว่าอยู่ที่ 198 กรัม ขณะที่ Note 10 หนักเพียง 168 กรัมเท่านั้น

RAM ทั้ง 2 รุ่นก็ใส่มาแตกต่างกันอยู่พอสมควรเลยนะ โดย Note 10+ จะใส่มาให้มากถึง 12GB ขณะที่ Note 10 ใส่มาให้น้อยกว่านิดหน่อยที่ 8GB ทว่าเอาเข้าจริง หากพูดถึงการใช้งานทั่วไป (หรือแม้กระทั่งเล่นเกมหนักๆ) 8GB ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานมากๆ แล้ว ความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นนี้อาจจะไปสร้างความแตกต่างเวลาเชื่อมต่อขึ้น Samsung DeX มากกว่า ส่วนใครที่เป็นกังวลว่าจะมีผลต่อการเล่นเกมหรือเปล่า ต้องขอบอกเลยว่าไม่นะ ใช้งานได้สบายๆ

สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปหรือเก็บข้อมูลเยอะๆ คงต้องเลือก Note 10+ แล้วล่ะ เนื่องจากสามารถใส่ microSD card เพิ่มได้ แต่ Note 10 ใส่ไม่ได้จ้า

อีกหนึ่งข้อแตกต่างที่ค่อนข้างชัดเจนเลยของ 2 รุ่นนี้ก็คือขนาดของแบตเตอรี่ Note 10 ใส่มาให้ 3,500 mAh รองรับการชาร์จไวแบบมีสาย 25W และแบบไร้สาย 12W ขณะที่ตัวใหญ่อย่าง Note 10+ อัดแบตมาให้มากถึง 4,300 mAh มากกว่าเกือบๆ 1,000 mAh เลยล่ะ การชาร์จไวก็ให้มามากกว่านะ สามารถชาร์จไวแบบมีสายได้ 45W (ในกล่องให้มา 25W) และแบบไร้สาย 15W เรียกได้ว่าปีนี้ Samsung ทำการบ้านออกมาดีมากๆ หลังจากเรื่องการชาร์จไวถือว่าเป็นจุดด้อยมาโดยตลอดเมื่อเทียบกับค่ายอื่นๆ

หากใครช่างสังเกตก็อาจจะเห็นแล้วว่า.. Galaxy Note 10+ และ Note 10 ได้ตัดรูหูฟัง 3.5 ออกไปแล้ว..

อีกเรื่องคือระยะเวลาการชาร์จแบตนะ ถึงแม้ว่า Note 10+ จะมีแบตเตอรี่ใหญ่กว่าที่ 4,300 mAh มากกว่า Note 10 ที่ใส่มาให้ที่ 3,500 mAh อยู่ 800 mAh และหม้อแปลงที่แถมมาก็ให้มา 25W เท่ากัน ทว่า Note 10+ กลับใช้เวลาชาร์จจาก 0% – 100% แค่ 65 นาที ในขณะที่ Note 10 อยู่ที่ 89 นาที

แต่สำหรับการชาร์จ 30 นาที Note 10+ จะได้แบตทั้งหมด 65% และ Note 10 อยู่ที่ 50% ส่วนเรื่องการชาร์จแบบไร้สายเป็นเวลา 30 นาที ทั้งคู่ทำผลงานออกมาได้เท่ากันที่ 34% ครับ

ส่วนการชาร์จแบบไร้สาย Note 10+ (15W) จะใช้เวลาจาก 0% – 100% เพียงแค่ 100 นาที หรือประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที เท่านั้นเอง เรียกได้ว่าเร็วมากๆ แต่ Note 10 ธรรมดา (12W) ก็ไม่น้อยหน้านะ ทำเวลาไป 107 นาที ช้ากว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เข้ามาเรื่องกล้องหลังกันบ้าง ทั้งสองตัวจะใช้เป็นกล้องเซ็ตเดียวกันทั้งหมด ประกอบด้วยกล้อง 12MP (f/1.5, 2.4) + 16MP (f/2.2) + 12MP (f/2.1) ต่างตรงที่ Note 10+ จะมีเซนเซอร์ 3 มิติ เพิ่มมาสำหรับวัดความตื้นลึก โดยทาง Samsung ได้ตั้งชื่อเซนเซอร์ตัวนี้ว่า “Depth Vision” แถมยังมีความละเอียดในระดับ VGA ซึ่งมากที่สุดในตลาดตอนนี้เลย  นอกจากนี้ระบบ AI ที่ใช้ในการจำแนก Scene ยังเพิ่มขึ้นมาเป็น 30 แบบอีกด้วย (Note 10+ ใช้กล้องเซ็ตเดียวกันกับ S10+ 5G ขณะที่ Note 10 ใช้ชุดเดียวกันกับ S10+)

กล้องหน้าของทั้ง 2 รุ่น จะใช้เป็นเซนเซอร์เดียวกัน ความละเอียด 10MP แต่รูรับแสงจะแคบลงกว่าเดิมที่ f/2.2 ทว่า Samsung เองก็แก้ปัญหานี้ด้วยการเพิ่มโหมด Night Shot เข้ามา และที่สำคัญคือสำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่าย Vlog เป็นพิเศษ อันนี้ข่าวดีนะ เพราะทางค่ายใส่ไมค์มาให้มากถึง 3 ตัว เวลาที่เรากำลัง vlogging อยู่ ไมค์ 2 ตัวจะทำการบล็อคเสียงจากภายนอกออก ส่วนไมค์ตัวที่เหลือก็จะทำการอัดเสียงเราเท่านั้น ทีมงานได้ลองแล้วก็พบว่าเหมือนกับนำไมค์ลอยมาติดไว้ตรงคอเสื้อเลยล่ะ

สรุป Note 10+ และ Note 10 เหมาะสำหรับการใช้งานด้านไหน

เดิมทีแล้วทาง Samsung วางตัว Note 10+ เอาไว้เป็นตัวอัพเกรดจาก Note 9, Note 8 อะไรแบบนี้นะครับ โดยจะวาง Note 10 ตัวธรรมดาไว้เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มีปากกา แต่ขนาดหน้าจอกำลังพอดี (แบบซีรีส์ Galaxy S10) ซึ่งวันนี้ทางทีมงานดรอยด์แซนส์ก็ได้สรุปมาให้เรียบร้อยแล้วครับว่าทั้ง 2 รุ่นนี้เหมาะสมสำหรับการใช้งานด้านไหน

  • ผู้ที่ชอบถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ vlog เก็บใส่เครื่องเยอะๆ > Galaxy Note 10+ เพราะ สามารถเพิ่มเมมได้ มีตัวเซนเซอร์ Depth Vision เอาไว้เพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ
  • ผู้ที่อยากได้ฟังชั่นการใช้งานของปากกา S Pen แต่ไม่อยากได้โทรศัพท์ที่มีขนาดใหญ่เกินไป > Galaxy Note 10 เพราะ ตัวเครื่องจะมีขนาดเท่ากับ Galaxy S10+ จับง่ายถือสบาย ขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไป
  • ผู้ที่ใช้งานฟีเจอร์ Samsung Dex > Galaxy Note 10+ เพราะ ให้ RAM มามากกว่าที่ 12GB ทำให้การใช้งานเป็น PC จะความไหลลื่นมากกว่า Galaxy Note 10 ที่ใส่ RAM มาให้ 8GB
  • ถึงแม้ว่า Note 10+ จะมีความจุแบตเตอรี่ที่มากกว่า 4,300 mAh (Note 10 มี 3,700 mAh) แต่ด้วยอัลกอริทึ่มอะไรต่างๆ ก็ทำให้ Note 10+ สามารถชาร์จแบตจาก 0% – 100% เต็มไวกว่า เร็วกันกว่าเกือบๆ 30 นาทีเลยทีเดียว น่าจะเหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลามากนัก

ทั้งนี้หากต้องการนำมาใช้งานทั่วไป อย่างเช่น แชท ฟังเพลง หรือดูหนัง ดูซีรีส์ ทั้ง 2 ตัวถือว่ามีประสิทธิภาพที่เหลือเฟือต่อการใช้งานทำนองนี้ไปยาวๆ 2 – 3 ปีเลยครับ เลือกตัวไหนก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก งบถึงเท่าไหร่ จัดตัวนั้นได้ตามใจชอบเลยครับ