เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นเล็กที่สเปคแทบจะขี่คอรุ่นพี่อยู่แล้วอย่าง Galaxy S20 Fan Edition ที่รอบนี้มีให้เลือกทั้งตัวชิปเซ็ต Snapdragon 865 และ Exynos 990 เลย …ว่าแต่ถ้านำเจ้า Galaxy S20 FE ไปเทียบกับเรือธงต้นปีในซีรีส์เดียวกันอย่าง Galaxy S20, S20+ และ S20 Ultra จะเป็นยังไงกันบ้างนะ ซื้อรุ่นไหนจะคุ้มกว่ากัน สเปคเหมือน-ต่างกันตรงไหนบ้าง?

เปรียบเทียบขนาดตัวเครื่อง Galaxy S20 Series

เริ่มด้วยขนาดตัวเครื่อง และความยากง่ายของการพกพากันดีกว่า โดยแต่ละรุ่นก็จะมีขนาดตัวเครื่องตามนี้

  • Galaxy S20 FE ขนาดตัวเครื่อง 74.5 x 159.8 x 8.4 มม. น้ำหนัก 190 กรัม
  • Galaxy S20 ขนาดตัวเครื่อง 151.7 x 69.1 x 7.9 มม. น้ำหนัก 163 กรัม 
  • Galaxy S20+ ขนาดตัวเครื่อง 162 x 73.7 x 7.8 มม. น้ำหนัก 186 กรัม
  • Galaxy S20 Ultra ขนาดตัวเครื่อง 167 x 76 x 8.8 มม. น้ำหนัก 220 กรัม

จะเห็นว่าถ้าวัดกันในเรื่องนี้ Galaxy S20 จะเป็นมือถือที่พกพาง่ายที่สุด น้ำหนักเบาที่สุด ส่วน Galaxy S20 Ultra นี่หนักสุดเลยที่ 220 กรัม ขณะที่ Galaxy S20 FE นั้นจะอยู่กลางๆ ที่ 190 กรัม ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่าแอบหนักอยู่นิดนึง แต่ถ้าไม่ซีเรียสอะไร สมาร์ทโฟนทั้ง 4 รุ่นก็ถือว่าไม่ได้มีน้ำหนักที่มากเกินไปขนาดนั้น (ยกเว้น Galaxy S20 Ultra ที่หนักเกิน ฮ่าๆ)

เปรียบเทียบหน้าจอ Galaxy S20 FE ฟีเจอร์น้อยกว่าแต่ขนาดอยู่กลางๆ

ในเรื่องของหน้าจอ ตรงนี้ Galaxy S20 FE แม้ว่าจะใช้เป็นแบบ AMOLED เหมือนกัน ค่ารีเฟรชเรท 120Hz เท่ากัน แต่เมื่อลงลึกไปอีกนิดจะสังเกตเห็นว่าชื่อเรียกจะแตกต่างกัน และแน่นอนว่ามีฟีเจอร์ที่ต่างกันด้วย

  • Galaxy S20 FE ขนาด 6.5″, Full HD, Super AMOLED
  • Galaxy S20 ขนาด 6.2″, WQHD+, Dynamic AMOLED 2X
  • Galaxy S20+ ขนาด 6.7″, WQHD+,Dynamic AMOLED 2X
  • Galaxy S20 Ultra ขนาด 6.9″, WQHD+, Dynamic AMOLED 2X

ความแตกต่างระหว่างหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X กับ Super AMOLED บอกเลยว่าถ้าไม่ได้เอามาวางเทียบกับแบบใกล้ๆ ชัดๆ ก็แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าจอไหนเป็นจอไหน แต่หลักๆ ตัว Dynamic AMOLED 2X จะสามารถดันความสว่างหน้าจอได้มากกว่า, ค่า Contrast เยอะกว่า, รองรับขอบเขตสี Colour Gamut เยอะกว่า, การแสดงผล HDR10+ จะมีความชัดเจนกว่า, กินไฟน้อยกว่า และเป็นมิตรกับสายตากว่าตัว Super AMOLED อีกด้วย

แถมกระจกนิรภัยที่ครอบทับ Galaxy S20 FE ยังคงใช้เป็น Gorilla Glass 3 เท่านั้น ซึ่งถามว่ามันทนทานและแข็งแกร่งไหม คำตอบก็คือมันทนต่อแรงขีดข่วน รวมถึงทนกับพวกคีย์กุญแจ หรือเศษเหรียญได้ดีประมาณหนึ่งเลยล่ะ แต่ยังไงซะ Gorilla Glass 6 บน Galaxy S20, S20+ และ S20 Ultra ก็เหนือกว่าอยู่ดี

แต่ถ้าใครตั้งใจจะซื้อฟิล์มกระจกมาติดอยู่แล้วล่ะก็ อันนี้ Galaxy S20 FE ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าเล็กน้อยเลยนะ ด้วยราคาค่าตัวที่ถูกกว่าอยู่หลายพันเลยทีเดียว

แน่นอนว่าหากเทียบกันแบบนี้ หน้าจอของ Galaxy S20 Series ทั้ง 3 รุ่น ย่อมเหนือกว่าหน้าจอของ Galaxy S20 FE อยู่แล้ว อีกทั้งความละเอียดยังใส่มาให้ที่ WQHD+ อีกด้วย ขณะที่ Galaxy S20 FE มีความละเอียดที่ Full HD+ เท่านั้น

อย่างไรก็ดี ถ้าจะปรับรีเฟรชเรท 120Hz บน Galaxy S20 Series ก็จะต้องดันความละเอียดลงเหลือแค่ Full HD+ เท่านั้น

วัสดุและการประกอบ Galaxy S20 FE ใช้ Reinforced Polycarbonate

ข้อนี้น่าจะเป็นจุดด้อยที่สุดของ Galaxy S20 FE เพราะเป็นตัวเดียวในบรรดา S20 Series ที่ใช้เป็น Reinforced Polycarbonate (พลาสติกระดับพรีเมียมที่แข็งแกร่งกว่าพลาสติกทั่วไป) พร้อม Haze Finish เคลือบด้านฝาหลังเหมือน Galaxy Note 20 ซึ่งรุ่นอื่นไม่ว่าจะเป็น S20, S20+, หรือ S20 Ultra จะใช้เป็น Gorilla Glass ทั้งหมด ที่จะได้เรื่องความหรูหรา และทนการแตกมากขึ้นเมื่อสัมผัสนั่นเอง

แต่ถ้ามองด้านดีของ Polycarbonate คือจะได้เรื่องความทนทานที่มากกว่า ตกไม่แตก, ผิวสัมผัสแบบ Haze Finish รวมถึงปกติแต่ละคนก็ติดกันรอยและใส่เคสด้วยกันอยู่แล้ว Galaxy S20 FE ก็ไม่ได้เสียหายนักจากข้อนี้

ประสิทธิภาพการใช้งาน Galaxy S20 FE (Snapdragon) vs Galaxy S20 Series (Exynos)

ส่วนด้านชิปเซ็ต Galaxy S20 FE เรียกว่ามาตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ที่อยากได้ชิปเซ็ตของ Qualcomm มาโดยตลอด ซึ่งถ้าใครใช้รุ่น 5G จะได้เป็น Snapdragon 865 แต่ถ้าต้องการประหยัดหน่อย คิดว่าแค่ 4G ก็เพียงพอแล้ว ก็จะได้เป็น Exynos 990 ในส่วน Galaxy S20 Series ทั้ง 3 รุ่น จะมีเพียงแค่ Exynos 990 ให้เลือกเท่านั้น

โดยเหตุผลที่แฟนอยากได้ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 865 มากกว่า Samsung Exynos 990 ก็เป็นเพราะประสิทธิภาพที่เหนือกว่าทั้งความสามารถในการประมวลผล และการกินไฟที่น้อยกว่า ทำให้การใช้งาน Snapdragon จะมีแบตที่อึดและยาวนานกว่านั่นเอง ตรงนี้ทาง JerryRigEverything ได้ทำการทดสอบเอาไว้ให้แล้ว ใครที่สนใจอยากอ่านเพิ่มเติม ก็สามารถกดไปที่บทความด้านล่างได้เลยนะคร้าบ~

Galaxy Note 20 Ultra รุ่น Exynos 990 ประสิทธิภาพยังตามหลัง Snapdragon 865+ อยู่ราวๆ 10-15% แถมกินแบตมากกว่า

อีกหนึ่งจุดที่ Galaxy S20 FE นั้นดูจะกุมความได้เปรียบเหนือ Galaxy S20 และ S20+ ก็น่าจะเป็นเรื่องการใช้งาน 5G เพราะรองรับการใช้งานทั้งคลื่น 700MHz และ 2600MHz เลย ส่วนในตระกูลรุ่นพี่อย่าง Galaxy S20 Series นั้น จะมีเพียงแค่ Galaxy S20 Ultra เท่านั้น ที่มาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งก็จะรองรับทั้งคลื่น 700 (28) และ 2600 (n41) MHz เหมือนกัน

Galaxy S20 FE กับกล้องถ่ายรูปที่ไม่ได้ด้อยกว่า S20 และ S20+

Galaxy S20 FE มากับกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว ประกอบด้วยเซ็นเซอร์หลักความละเอียด 12MP, กล้อง Ultra-Wide 12MP และกล้อง Telephoto 8MP สามารถซูม Optical ได้ 3x และดัน Digital ได้ไกลสุดที่ 30x

ส่วน Galaxy S20 นั้นจะให้มาที่ 3 ตัวเช่นกัน แต่กล้อง Telephoto จะใช้เป็นเซนเซอร์ความละเอียดสูง 64MP แล้วเอามาครอปแทนที่จะใช้เป็น Optical Lens เพื่อให้ได้ความสามารถถ่ายวิดีโอ 8K ขณะที่ Galaxy S20+ จะมีกล้อง 3 ตัวแบบเดียวกับ S20 แต่จะมีเพิ่มเซ็นเซอร์ DepthVision (ToF) เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตัว สำหรับเอาไว้วัดระยะเบลอฉากหลังเวลาถ่ายโหมดหน้าชัดหลังเบลอด้วย

ขณะที่รุ่นพี่ใหญ่สุดอย่าง Galaxy S20 Ultra อันนี้จะใส่กล้องมาแบบโหดจัดแบบชัดเจน กล้องตัวหลักความละเอียด 108MP, กล้อง Ultra-Wide 12MP, กล้อง Telephoto เป็นแบบ Periscope 48MP และเซ็นเซอร์ DepthVision (ToF) สามารถดันซูมได้ไกลสุดลูกหูลูกตา 100x 

Galaxy S20 Ultra มาพร้อมกับเซ็นเซอร์หลักความละเอียด 108MP

เห็นแบบนี้แล้ว Galaxy S20 FE ไม่ได้มีสเปคกล้องที่ด้อยกว่า Galaxy S20 แล S20+ แต่อย่างใด ส่วนตัวยังมองว่ากล้อง Tele ที่เป็น Optical 3x ยังจะดีกว่าการใช้ความละเอียดสูงและครอปเอาอยู่ในระดับนึง ส่วนตัว Galaxy S20 Ultra ที่แม้จะมีสเปคเหนือกว่า แต่ก็แลกมากับกล้องที่ใหญ่เทอะทะ รวมถึงประสบปัญหาโฟกัสช้าจนต้องเพิ่มระบบโฟกัส Phase Detection มาให้ใน Galaxy Note 20 Ultra

แต่ถ้าเป็นเรื่องของการถ่ายวิดีโอ ตรงนี้ Galaxy S20 FE จะด้อยกว่า Galaxy S20, S20+ และ S20 Ultra อย่างชัดเจน เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K เท่านั้น ขณะที่รุ่นพี่ทั้ง 3 รุ่นต่างถ่ายได้สูงสุดที่ 8K เท่ากันทั้งหมด

แบตเตอรี่ และระบบชาร์จไว

ทั้ง Galaxy S20 FE, S20+มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4500 มิลลิแอมป์ ส่วน S20 Ultra จะเยอะสุดที่ 5000 mAh ส่วน Galaxy S20 นี่เหมือนจะไม่ได้อ่านไลน์กลุ่ม ใส่แบตมาให้แค่ 4000 มิลลิแอมป์เท่านั้น ทุกตัวรองรับระบบชาร์จไว 25W ด้วยกันทั้งหมด แต่ Galaxy S20 Ultra จะพิเศษกว่าที่รับได้สูงสุดถึง 45W ซึ่งเราได้เคยทดสอบแล้วว่าเมื่อใช้งานจริงหัวชาร์จ 45W ก็ไม่ได้ไวกว่า 25W ขนาดนั้น ซึ่งล่าสุดใน Galaxy Note 20 Ultra ก็ตัดการรองรับการชาร์จเร็ว 45W ออกไปเป็นที่เรียบร้อย

Review | รีวิว Samsung Super Fast Charge 45W เร็วแรงแค่ไหน จำเป็นต้องซื้อหรือไม่

ส่วนในเรื่องของ Wireless Charging และ Reverse Wireless Charging (การชาร์จไฟย้อนกลับไปให้อุปกรณ์อื่น) ตรงนี้ทั้ง Galaxy S20 FE, S20, S20+ และ S20 Ultra จะรองรับเท่ากันที่ 15W และ 4.5W ตามลำดับ

สรุปซื้อรุ่นไหน ?

Galaxy S20 FEGalaxy S20Galaxy S20+Galaxy S20 Ultra
หน้าจอSuper AMOLED 6.5″Dynamic AMOLED 2X 6.2″Dynamic AMOLED 2X 6.7″Dynamic AMOLED 2X 6.9″
ความละเอียดFull HD+WQHD+
รีเฟรชเรท120Hz
กระจกนิรภัยGorilla Glass 3 ข้างหน้า – Reinforced Polycarbonate (พลาสติกระดับพรีเมียม) ข้างหลังGorilla Glass 6 ทั้งหน้าหลัง
ชิปเซ็ตSnapdragon 865 (รองรับ 5G)

Exynos 990 (รองรับแค่ 4G)

Exynos 990
RAM8GB (LPDDR5)12GB (LPDDR5)
ความจุ128GB / 256GB รองรับ microSD Card128GB รองรับ microSD Card
กล้องหลัง

3 ตัว

  • Wide: 12MP
  • Ultra-Wide: 12MP
  • Telephoto: 8MP Optical 3x, Digital 30x

3 ตัว

  • Wide: 12MP
  • Ultra-Wide: 12MP
  • Telephoto: 64MP Hybrid Optic 3x, Space Zoom 30x

4 ตัว

  • Wide: 12MP
  • Ultra-Wide: 12MP
  • Telephoto: 64MP Hybrid Optic 3x, Space Zoom 30x
  • ToF: DepthVision

4 ตัว

  • Wide: 108MP
  • Ultra-Wide: 12MP
  • Telephoto: 48MP Hybrid Optic Zoom 10x, Space Zoom 100x
  • ToF: DepthVision
การถ่ายวิดีโอ

4K

8K

กล้องหน้า32MP10MP40MP
ลำโพงคู่สเตอริโอ
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (Optical)ใต้หน้าจอ (Ultrasonic)
แบตเตอรี่4500 mAh4000 mAh4500 mAh5000 mAh
ระบบชาร์จไว25W45W
Wireless Charging15W
Reverse Wireless Charging4.5W
การใช้งาน 5Gคลื่น 700MHz และ 2600MHzไม่รองรับคลื่น 700MHz และ 2600MHz
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นIP68
ระบบปฏิบัติการOne UI 2.5 บนพื้นฐาน Android 10One UI 2.0 บนพื้นฐาน Android 10 (ได้อัปเดตเป็น One UI 2.5)
ขนาดน้ำหนัก190 กรัม163 กรัม186 กรัม220 กรัม

 

ะเห็นว่าสเปคในภาพรวมของ Galaxy S20 FE นั้นแทบจะไม่ได้ด้อยไปกว่า Galaxy S20 Series ซักเท่าไหร่เลย แถมราคาเปิดตัวก็เริ่มต้นมาเพียงแค่ 20,900 บาทเท่านั้น เรียกว่าถูกกว่า Galaxy S20 รุ่นเริ่มต้นอยู่หลายพันเลยทีเดียว แต่สเปคที่ได้นี่แทบจะขี่คอกันแล้ว

สรุปราคา Galaxy S20 FE และสีที่วางจำหน่าย

Galaxy S20 FE มีออกมาทั้งหมด 3 รุ่นย่อย 3 ราคาดังนี้นะครับ

  • Galaxy S20 LTE / 128GB ราคา 20,900 บาท
  • Galaxy S20 5G / 128GB ราคา 23,900 บาท
  • Galaxy S20 5G / 256GB ราคา 25,900 บาท

โดยจะมีจำหน่ายทั้งหมด 6 สีตามที่เปิดตัวมาเลย ไม่มีกั๊กสีเอาไว้แต่อย่างใด และโปรจอง Galaxy S20 FE ก็แรงจัดๆ อีกด้วย คุ้มค่าแบบสุดๆ

เปรียบเทียบกับราคาของ Galaxy S20 Series เมื่อครั้งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี

  • Galaxy S20 ราคา 28,900 บาท
  • Galaxy S20+ ราคา 31,900 บาท
  • Galaxy S20 Ultra 5G ราคา 39,900 บาท

ซึ่งถ้าใครที่ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องสเปคอะไรขนาดนั้นว่ามือถือของเราต้องเป็นที่หนึ่งของทุกเรื่อง ตรงนี้บอกเลยว่า Galaxy S20 FE เหมาะมากๆ เลยนะ เพราะอย่างที่เห็นในตารางสเปคด้านบน จะเรียก Galaxy S20 FE เป็น “มือถือฆ่าเรือธง” ก็สามารถพูดได้เต็มปากแบบไม่เคอะเขิน ทั้งจอ Super AMOLED รีเฟรชเรท 120Hz, ชิป Snapdragon 865, กล้องหลัง 3 ตัว ซูม 30x, ใช้งาน 5G ได้ทุกเครือข่ายในไทย และแบตเตอรี่ขนาด 4500 mAh รองรับชาร์จไว 25W แถมได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 อีก

…แต่ถ้าใครอยากได้แบบจัดเต็มจริงๆ อันนี้ยังไงก็ต้อง Galaxy S20 Ultra แหละ