ถึงแม้ว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดแทบเล็ต Android ดูจะเหงาหงอยเนื่องจากตอนนี้มีแทบเล็ต Android เหลืออยู่แค่ไม่กี่เจ้าเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือแบรนด์ดังอย่าง Samsung ที่ยังคงปล่อยแทบเล็ตออกมาทุกปี ซึ่งล่าสุดก็คือ Galaxy Tab S6 ที่พึ่งเปิดตัวไปหยกๆ โดยคราวนี้ Samsung มาแปลกกว่าเดิมด้วยการจัดสเปคให้แทบเล็ตรุ่นดังกล่าวแบบเต็มที่ไม่มีกั๊กเหมือนรุ่นก่อนๆ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น.. มาดูกันครับ

ที่บอกว่าคราวนี้ Samsung ไม่กั๊กสเปคของแทบเล็ตเหมือนก่อนแล้ว เพราะว่า Galaxy Tab S6 เป็นแทบเล็ตระดับเรือธงที่เป็นเรือธงจริงๆ ด้วยชิป Snapdragon 855 ซึ่งเป็นชิประดับไฮเอนด์ของปี 2019 ไม่เหมือนรุ่นก่อนๆ ที่มักจะใส่ชิปตกรุ่นไปแล้ว 1 ปี มาให้ เช่น Galaxy Tab S3 เปิดตัวปี 2017 แต่ใช้ชิป Snapdragon 820 ของปี 2016 หรือ Galaxy Tab S4 เปิดตัวปี 2018 แต่ใช้ชิป Snapdragon 835 ของปี 2017 นอกจากนี้ Galaxy Tab S6 ยังเป็นแทบเล็ตรุ่นแรกของโลกอีกด้วยที่มาพร้อมกับหล้องหลังคู่ (แต่ดันตัดแฟลชทิ้ง)

Galaxy Tab S6 จะมีให้เลือก 2 รุ่น แบ่งออกเป็นหน่วยความจำคือรุ่น 6GB / 128GB และ 8GB / 256GB ซึ่งรุ่นที่เราเอามารีวิวให้ดูก็คือรุ่น 6GB / 128GB นะครับ ส่วนสเปคเต็มๆ ของมันก็ตามนี้เลย

สเปค GALAXY TAB S6

  • หน้าจอ sAMOLED ความละเอียด 2K (1600 x 2560) ขนาด 10.5 นิ้ว
  • CPU : Snapdragon 855
  • GPU : Adreno 640
  • RAM : 6GB / 8GB
  • ความจุ : 128GB / 256GB (UFS 3.0) รองรับ MicroSD Card 1TB
  • กล้องหลัง : เลนส์หลัก 13MP (f/2.0) + เลนส์กว้าง 123° 5MP (f/2.2)
  • กล้องหน้า : 8MP (f/2.0)
  • การเชื่อมต่อ : LTE : Cat.20 (DL up to 2.0Gbps), Wi-Fi : 802.11 a/b/g/n/ac (2.4/5GHz), MIMO, Bluetooth® v 5.0, USB type-C
  • เซ็นเซอร์ : Pressure sensor, Gyro sensor, RGB light sensor, Fingerprint sensor (บนหน้าจอ), Geomagnetic sensor, Hall sensor
  • ระบบเสียง : ลำโพง 4 ตัว Tuned by AKG, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่ : 7040 mAh รองรับการชาร์จไว 15W
  • ระบบ Android 9 ครอบด้วย One UI
  • ขนาด / น้ำหนัก : 244.5 x 159.5 x 5.7 มม. / 420 กรัม
  • สีที่วางจำหน่าย : สีเทา Mountain Grey, สีฟ้า Cloud Blue, สีชมพู Rose Blush

แกะกล่อง

ภายในกล่อง Galaxy Tab S6 ก็จะมีของทั่วไป ที่มักจะให้มากับมือถือ / แทบเล็ตทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น..

  • ตัวเครื่อง Galaxy Tab S6 (ถ้าไม่มีแสดงว่าโดนหลอก)
  • S Pen
  • ที่คีบเปลี่ยนหัวปากกา พร้อมหัวสำรอง 2 อัน
  • หูฟัง In-Ear แบบ USB-C พร้อมจุกหูฟัง 2 ขนาด
  • สายชาร์จ USB-C > USB-A
  • หม้อแปลง 15W
  • ข็มจิ้มซิม
  • คู่มือ

น่าเสียดายที่ไม่มีฟิล์มกันรอยและเคสแถมมาให้ด้วย เพราะฉะนั้นต้องไปหาซื้อกันเองนะจ๊ะ

ดีไซน์ตัวเครื่อง

Galaxy Tab S6 มีตัวเครื่องเป็นโลหะชิ้นเดียว โดยเครื่องที่ได้มารีวิวเป็นสีชมพู Rose Blush ซึ่งเป็นสีแบบด้าน ดูพรีเมี่ยมและแข็งแรงทนทานดี (แต่ไม่ได้ลองงอเครื่องให้ดูหรอกนะ…)

ขอบเครื่องด้านขวามีปุ่ม Power, ปุ่มปรับเสียง และช่องใส่ซิมที่ใส่ MicroSD Card ได้ด้วย

ด้านซ้ายมีแค่พอร์ทสำหรับเสียบกับเคสคีย์บอร์ด

ด้านบนมีลำโพง 2 ตัว

ด้านล่างมีลำโพงอีก 2 ตัว และพอร์ท USB-C ส่วนรูหูฟัง 3.5 มม. โดนตัดทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้ตัวเครื่องบางลงไปได้อีกนิดนึง

หน้าจอขนาด 10.5 นิ้ว มีขอบที่บางลงกว่ารุ่น Tab S4 เล็กน้อย ส่วนน้ำหนักของ Tab S6 อยู่ที่ 420 กรัม ถ้าถือเทียบกับ Tab S4 ที่ 483 กรัม จะรู้สึกได้เลยว่ามันเบากว่า และถือด้วยมือเดียวได้สบายกว่า

หน้าจอ 2K

Galaxy Tab S6 มีหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 10.5 นิ้ว ใหญ่เต็มตา แถมด้วยความละเอียดระดับ 2K และยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเราดูคอนเทนท์ที่เป็น 4K HDR ภาพที่ได้จะตื่นตาตื่นใจ สวยงามสุดๆ บริเวณที่เป็นสีดำก็จะดำสนิทไปเลย

ถ้าใครที่ไม่รู้ว่าจะหาวิดีโอ HDR จากไหนมาดู ก็เข้าไปใน YouTube และพิมพ์ว่า HDR Video ก็จะมีตัวเลือกมาให้ดูเพียบเลยล่ะ…ซึ่งน่าแปลกที่ Galaxy Tab S6 รองรับการดูวิดีโอแบบ HDR บน YouTube แต่ Tab S4 กลับไม่รองรับ ทั้งๆ ที่หน้าจอของทั้งคู่มีสเปคเดียวกัน

หรือใครอยากจะดูหนังแบบเป็นเรื่องเป็นราว ใน Netflix ก็มีทั้งหนัง และซีรีส์แบบ HDR ให้ดูเยอะเหมือนกันนะ (ดูแบบ HDR แล้วจะติดใจจนเซ็งว่าทำไมไม่ทำภาพแบบนี้ทุกเรื่อง)

สแกนนิ้วมือบนหน้าจอ

หลังจากที่ Samsung ได้ตัดระบบปลดล็อคเครื่องด้วยการสแกนม่านตาที่เคยใช้ใน Tab S4 ทิ้งไป ในรุ่นนี้ก็ได้ใส่ระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอมาให้แทน ซึ่งก็มีความรวดเร็วและแม่นยำดี โดยเซ็นเซอร์ดังกล่าวเป็นแบบ Optical ที่ใช้กับมือถือรุ่นอื่นๆ ในตลาด ไม่ได้ใช้แบบ Ultrasonic เหมือนใน Galaxy S10 และ Note 10 นะครับ

ประสิทธิภาพเครื่อง และการเล่นเกม

สเปคของ Tab S6 คราวนี้เรียกว่าจัดเต็ม ไม่ได้ใช้ชิปตกรุ่นเหมือนก่อน เพราะใส่ชิปตัวแรงอย่าง Snapdragon 855 มาให้ บวกกับ RAM อีก 6GB (ถ้าตัวท็อปก็ 8GB) ทำให้การใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเล่นเน็ต เล่นโซเชียล ดูหนัง ทำงาน วาดรูป ฯลฯ ลื่นสุดๆ โดยวัดประสิทธิภาพจากแอป AnTuTu ได้คะแนนออกมาตามนี้

ส่วนความจุแบบ UFS 3.0 ก็ทั้งอ่านทั้งเขียนได้แบบรวดเร็วทันใจสุดๆ ทดสอบประสิทธิภาพด้วยแอป Androbench ออกมาได้คะแนนตามนี้เลย

สำหรับการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเล่นเกมสเปคโหดขนาดไหนทั้ง ROV, PUBG, Asphalt 9 ก็สามารถปรับกราฟฟิคได้สุด และเล่นได้ลื่นๆ ไม่มีอาการกระตุก เฟรมเรทก็ไม่มีตกให้หงุดหงิด

ROV ปรับสุดได้ทุกอย่าง เฟรมเรทไม่ตกไปกว่า 59 – 60 fps เลย

Shadowgun Legends ปรับกราฟฟิค Ultra / 60 fps เล่นได้ลื่นปรื๊ดๆ

PUBG ปรับกราฟฟิคสุด ทั้ง HDR และเฟรมเรทที่ Extreme ก็ยังเล่นได้ลื่นๆ

ลำโพงและระบบเสียง

Galaxy Tab S6 ยัดลำโพงที่ปรับแต่งเสียงโดยแบรนด์ระดับโลกอย่าง AKG มาให้ถึง 4 ตัว แบ่งเป็นด้านบน 2 ตัว และด้านล่างอีก 2 ตัว พร้อมกับระบบเสียง Dolby Atmos ที่จะยิ่งเพิ่มความแน่น ความกระหึ่มให้มากขึ้นไปอีก ถ้าเอาไปเทียบกับ Tab S4 จะเห็นความแตกต่างของเสียงได้แบบชัดๆ เลยว่า Tab S6 มีเสียงจากลำโพงที่ดีกว่ามาก (มากๆ เลยอะ) เสียงทุ้ม มีมิติ แถมดังกว่าอีกต่างหาก คือใช้แค่ลำโพงจากตัวเครื่องก็ไม่ต้องไปหาลำโพงบลูทูธมาต่อเพิ่มเลยล่ะ

เสียงกระหึ่มบึ้มบั้มแบบไม่ต้องต่อลำโพงเสริม

ส่วนใครที่อยากฟังคนเดียว ในกล่องเค้าก็มีหูฟังที่ใช้กับพอร์ท USB-C แถมมาให้ด้วยนะ แต่ใครที่จะใช้หูฟังของตัวเองที่เป็นแจ๊คเสียบกับรู 3.5 มม. ก็ต้องไปหาซื้อตัวแปลงมาใช้กันเองเด้อ

One UI และ DeX

หน้าตาการใช้งาน One UI ของ Galaxy Tab 6 ก็แทบจะไม่ต่างกับมือถือ Samsung Galaxy ทั่วไป (แค่ขยายขนาดหน้าจอ) โดยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ปุ่ม Navigation แบบเดิม (Back, Home, Recent Apps) หรือจะเป็นแบบ Gestures ใช้นิ้วปัดเอาแทนก็ได้

แต่จะมีข้อติอยู่เรื่องนึงก็คือเวลาดูวิดีโอในแอป YouTube มันจะไม่ปรับทิศทางของหน้าจออัตโนมัติเหมือนตอนเปิดในมือถือ ยกตัวอย่างเช่น ใช้งานในแนวตั้งโดยปิดระบบ Auto Rotate (หมุนจออัตโนมัติ) เอาไว้ พอเข้าไปดูวิดีโอใน YouTube ที่เป็นวิดีโอแนวนอน พอกดดูแบบเต็มจอ มันก็จะแสดงผลในแนวตั้งแทน ไม่ได้หมุนจอเป็นแนวนอนให้อัตโนมัติ เราก็เลยต้องไปกดเปิดระบบ Auto Rotate ซะก่อน จากนั้นค่อยหมุนจอเองอีกที วิดีโอถึงจะปรับเป็นแนวนอนให้…ซึ่งปัญหานี้ใน Tab S4 ก็เป็นเหมือนกัน (ไม่แน่ในว่าแทบเล็ต Android รุ่นอื่นเป็นด้วยรึเปล่า)

กดให้เล่นวิดีโอเต็มจอแล้วไม่หมุนให้

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ DeX นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มาก สำหรับการใช้งานที่จริงจังขึ้นมาหน่อย เพราะโหมดนี้ จะเปลี่ยนหน้าตาของ UI ให้คล้ายกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ปกติ โดยเราสามารถต่อเมาส์ + คีย์บอร์ด ผ่าน USB-C Hub, ต่อแบบไร้สายด้วยบลูทูธ หรือจะใช้กับ Keyboard Book Cover Case ก็สะดวกดีเหมือนกัน

หน้า UI โหมด DeX

โหมด DeX จะเปลี่ยนการทำงานของเมาส์ ให้สามารถใช้ได้เหมือนกับบนคอมพิวเตอร์เลย เพราะปกติการใช้เมาส์กับมือถือหรือแทบเล็ต Android เวลาคลิกขวา มันจะกลายเป็นการกด Back แต่การคลิกขวาใน DeX จะโชว์ตัวเลือกอื่นๆ อย่างเช่น Copy, Paste ฯลฯ เหมือนบนคอมพิวเตอร์ ทำให้ใช้งานแอปประเภท Word หรือ Excell สะดวกกว่า

โหมด DeX เปิดหลายหน้าต่างได้

ใช้งานแอป Word / Excell ได้คล้ายๆ บนคอมพิวเตอร์

เมื่อเราเปิดใช้งานโหมด DeX จะมีบางแอปที่สามารถขยายหน้าต่างให้เต็มจอได้ และจะมีบางแอปที่ไม่สามารถขยายเต็มจอได้ ส่วนมากก็จะเป็นแอปที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในแนวตั้งนั่นเอง

ตัวอย่างแอปที่ขยายเต็มจอไม่ได้ เพราะออกแบบมาให้ใช้กับจอแนวตั้งเท่านั้น

ปากกา S Pen รุ่นใหม่

ตั้งแต่ Galaxy Tab S3 – S4 ที่มีปากกา S Pen มาให้ด้วย เราจะต้องหาที่เก็บปากกาเอาเอง เพราะมันแท่งใหญ่เกินไปที่เอามาเสียบไว้ในเครื่องเหมือนกับมือถือ Galaxy Note แถมรุ่นก่อนๆ ก็ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรเลย ใช้แค่วาดรูป หรือจดๆ เขียนๆ เท่านั้น แต่สำหรับปากกา S Pen ของ Tab S6 จะมีลูกเล่นเหมือนกับ Note 10 ก็คือฟีเจอร์ Air Actions ให้เราได้ตวัดปากกา เพื่อสลับกล้องหน้า – หลัง, กดปุ่มชัตเตอร์ระยะไกล, เปลี่ยนโหมดกล้อง, กดเปลี่ยนสไลด์ตอนพรีเซนต์งาน, เปลี่ยนเพลง, เปลี่ยนวิดีโอ ฯลฯ ซึ่งการใช้งาน Air Actions เหล่านั้นต้องใช้พลังงานด้วย ทำให้ S Pen รุ่นนี้ต้องชาร์จไฟจากตัว Tab S6 เอาไว้นั่นเอง

แต่สำหรับการใช้งานประเภทขีดๆ เขียนๆ พวกนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานเพิ่มนะครับ ต่อให้แบตปากกาหมดก็ยังเขียนหน้าจอได้อยู่

ฟีเจอร์ Air Actions ที่ใช้สั่งการได้ทั้ง YouTube, Spotify, กล้อง ฯลฯ

ส่วนการชาร์จไฟให้ S Pen เราก็แค่เอาปากกาดังกล่าวไปแปะไว้ที่ด้านหลังเครื่องของ Tab S6 ตรงที่เป็นร่องสำหรับชาร์จไฟที่เป็นแม่เหล็ก ซึ่งแม่เหล็กก็มีแรงดูดแน่นพอสมควรจนสะบัดแล้วไม่หลุดออกจากเครื่องแน่นอน (ถ้าสะบัดแรงกว่านี้ เครื่องจะหลุดมือแทน) โดย S Pen จะสามารถใช้งานได้ยาวๆ ถึง 10 ชม. และเอามาแปะชาร์จแค่ 10 นาที ก็เต็มแล้ว

เอา S Pen แปะชาร์จไว้หลังเครื่อง

แต่ถ้าใครที่ไม่ใช้เคสแบบมีที่ครอบปากกา ก็อาจจะเกิดความรำคาญได้ เพราะเวลาถือเล่นแล้วนิ้วมันชอบจะไปโดนปากกาให้หลุดออกจากแถบชาร์จ พอปากกามันเคลื่อนออกแล้วโดนแม่เหล็กดูดกลับมา หน้าจอมันก็จะหม่นลงไปแล้วแจ้งเตือนว่าปากกากำลังชาร์จอยู่…เป็นบ่อยมาก จนสุดท้ายต้องถอดปากกาไปเก็บไว้ที่อื่นแทน

ถือแล้วนิ้วชอบไปโดนปากกาเคลื่อนออกจากแถบชาร์จ

พอปากกาโดนแม่เหล็กดูดกลับไปที่เดิมหน้าจอก็จะหม่นลง และมีแจ้งเตือนว่ากำลังชาร์จปากกาอยู่

สำหรับการใช้งาน S Pen เพื่อขีดๆ เขียนๆ ก็ยังคงความเทพอยู่เหมือนเดิม ด้วยความสามารถในการรับแรงกดได้ถึง 4,096 ระดับ ทำให้การวาดภาพกับแอปที่รองรับปากกาหลายระดับอย่าง SketchBook มีความเป็นธรรมชาติมาก กดปากกาหนักลายเส้นก็เข้ม กดเบาๆ ลายเส้นก็จาง ทำให้ระบายสีแบบแรเงาได้เหมือนใช้ดินสอหรือปากกาจริงๆ แถมหัวปากกากับลายเส้นก็แทบจะติดกันเป๊ะๆ ไม่หน่วงแบบหัวปากกาไปไกลแล้ว แต่เส้นยังตามมาไม่ถึง (ยกเว้นแอป Adobe Photoshop Sketch ที่เส้นหน่วงมาก)

เวลาจะจดงานใช้แอป Samsung Note ก็แสนจะสะดวก เพราะแค่เราหยิบปากกาขึ้นมาจ่อตรงหน้าจอแล้วกดปุ่มทีนึง มันก็จะขึ้นโหมด Screen off memo ให้เขียนบนหน้าจอได้เลย โดยที่ไม่ต้องปลดล็อค ซึ่งหน้าจอก็จะเป็นสีดำ ส่วนลายเส้นปากกาจะเป็นสีขาว ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้เยอะเลยด้วย และหลังจากจดเสร็จแล้วมันก็จะถูกบันทึกอยู่ในแอป Samsung Note ให้เปิดดู หรือเขียนต่อได้

เขียนโดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ

กล้องหลังคู่

Galaxy Tab S6 เป็นแทบเล็ตรุ่นแรกที่ใส่กล้องหลังมาให้ 2 ตัว โดยกล้องหลักมีความละเอียดอยู่ที่ 13MP และกล้องรองเป็นเลนส์ Wide ความละเอียด 5MP ทำให้แทบเล็ตรุ่นนี้ถ่ายรูปแบบหน้าชัดหลังเบลอสวยกว่าแทบเล็ตรุ่นอื่นๆ ในตลาด (ส่วนตัวคิดว่ามันเกินความจำเป็นไปหน่อย เพราะไม่น่าจะมีใครซื้อแทบเล็ตมาเพื่อเน้นการถ่ายรูปอยู่แล้ว)

คุณภาพของรูปก็ถือว่าใช้ได้ โดยกล้องของ Tab S6 ยังมีระบบ AI จำแนก Scene มาให้ด้วย ส่วนในสภาพแสงน้อยพบว่าจัดการกับเหล่า Noise ได้ไม่ดีนัก แต่พอเปิด Night Mode แล้วก็จัดการกับ Noise ไปได้บ้างเล็กน้อย

โหมด Photo ปกติ

Night Mode

และจากการที่ Tab S6 มีกล้องหลังมาให้ 2 ตัว ทำให้การถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอออกมาพอใช้ได้เลย แถมยังมีเอฟเฟ็คท์ให้เลือกเล่นด้วย

Potrait Mode

กล้องหน้า

กล้องหน้าความละเอียด 8MP ถือว่าพอใช้เช่นกัน โดยมีทั้งฟิลเตอร์ให้เลือกเล่นพอหอมปากหอมคอ, มีโหมดบิวตี้ 3 ระดับ, สติ๊กเกอร์ และมีโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Live Focus) มาให้ด้วย

แบตเตอรี่

ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่ของ Tab S6 จะให้มาน้อยกว่า Tab S4 นิดหน่อยที่ 7040 mAh ต่อ 7300 mAh แต่ก็เรียกว่าใช้งานได้แบบเหลือเฟือเพราะชิป Snapdragon 855 มีระบบจัดการการใช้พลังงานที่ดีขึ้นกว่า Snapdragon 835 ของ Tab S4 อยู่แล้ว ทดลองดูซีรีส์ Netflix ประมาณ 5 ชั่วโมง, เล่นเกม ROV + PUBG ซักเกือบๆ ชั่วโมง (เล่นนานกว่านี้ไม่ไหวเพราะเมื่อยมือ) เล่นเน็ต เล่นโซเชียล ระหว่างวันด้วย 4G ฯลฯ จนถึงค่ำๆ ยังเหลือแบตเตอรี่เกือบ 50% เลยทีเดียว

ส่วนเวลาที่ใช้ในการชาร์จไฟกลับ ด้วยหม้อแปลงขนาด 15W ที่แถมมาให้กับแทบเล็ต ชาร์จไฟตั้งแต่ 4% – 100% ใช้เวลาราวๆ 2 ชม. กว่าๆ

สรุป

ข้อดี

  • หน้าจอสวย
  • ลำโพงเสียงดี (มาก)
  • สเปคแรงหายห่วง
  • ปากกา S Pen ยังคงใช้ได้ดีเหมือนรุ่นก่อนๆ แถมมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ใช้
  • แบตเตอรี่อึดมาก
  • โหมด DeX ค่อนข้างดี และใช้งานได้จริง
  • น้ำหนักเบาลง (เทียบกับ Tab S4)

ข้อติ

  • ที่เก็บปากกา S Pen เกะกะนิ้ว เวลาถือใช้งาน
  • ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่ชาร์จนาน
  • One UI ยังปรับแต่งให้ใช้กับแทบเล็ตไม่ค่อยดีในบางแอป
  • ราคาค่อนข้างสูง

Play video

Galaxy Tab S6 เป็นแทบเล็ต Android ที่ถือว่าทรงพลังและครบเครื่องสุดๆ ในตลาดแล้วตอนนี้ เหมาะทั้งการใช้งานเพื่อความบันเทิง หรือใช้งานจริงจังด้วยโหมด DeX ซึ่งทั้งหมดนั่นก็แลกมาด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงถึง 25,900 บาท / ตัวท็อป 28,900 บาท ถ้าใครที่อยากได้แทบเล็ต Android แรงๆ ซักตัวด้วยงบที่ไม่จำกัดและใช้งานไปยาวๆ อีก 2 – 3 ปี…ก็บอกได้เลยว่า Galaxy Tab S6 คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ครับ