วันนี้ทางทีมงาน DroidSans นำสมาร์ทโฟนเรือธงดีไซน์สุดล้ำจาก Samsung อย่าง Galaxy Z Fold 3 และ Galaxy Z Flip 3 มาชนกับ iPhone 13 Series มือถือยอดนิยมของวงการมาปอนด์ต่อปอนด์ ว่าสเปคเหมือนต่างกันอย่างไร รุ่นไหนเหมาะสมกับใคร สายทำงาน สายแคชชวล สายเล่นเกม ควรซื้อรุ่นไหน มาหาคำตอบได้ในบทความนี้เลยครับ 

ดีไซน์การออกแบบ

ในบรรดาสมาร์ทโฟนทั้งหมดที่นำมาเปรียบเทียบในครั้งนี้ เครื่องที่หนักและเหมือนจะพกพายากที่สุดคงหนีไปไม่พ้น Galaxy Z Fold 3 เพราะมีน้ำหนักมากถึง 271 กรัม แถมตัวเครื่องยังมีความหนา เนื่องจากเป็นสมาร์ทโฟนจอพับ ส่วนรองลงมาก็คง iPhone 13 Pro Max นี่แหละที่หนักพอ ๆ กัน แต่ด้วย Form Factor เหมือนมือถือทั่ว ๆ ไป ทำให้การพกพกไปไหนมาไหนยังไม่ได้ลำบากอะไรมากนักสักเท่าไหร่

ส่วน Galaxy Z Flip, iPhone 13 Pro, iPhone 13 หรือ iPhone 13 mini อันนี้ส่วนตัวชอบมาก ๆ เพราะน้ำหนักของพวกนี้ค่อนข้างเบา ขนาดกำลังพอดีมือ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป โดยเฉพาะ Galaxy Z Flip 3 ที่นอกจากการออกแบบจะน่ารักย้อนยุคแล้ว พอพับแล้ว ยังใส่กระเป๋ากางเกง หรือกระเป๋าเสื้อได้สะดวก ไม่ต้องกลัวหล่นอีกต่างหาก

หน้าจอการแสดงผล

ทั้ง Galaxy Z Fold 3, Galaxy Z Flip 3 และ iPhone 13 Series ต่างมาพร้อมกับหน้าจอชนิด OLED เหมือนกัน รีเฟรชเรท 120Hz จะมีเพียงแค่ iPhone 13 รุ่นธรรมดาและ mini เท่านั้น ที่ยังใช้จอรีเฟรชเรท 60Hz อยู่ จากประสบการณ์ที่ใช้งานมา ต้องยอมรับว่ายังไง 120Hz ก็ดีกว่า 60Hz จริง ๆ มันเหมือนตีบวกความลื่นไหลขึ้นไปอีกขั้น แต่ถามว่า 60Hz มันแย่ขนาดนั้นไหม ก็ไม่ใช่ไปสักทีเดียว เพียงแค่ 120Hz มันดีกว่าเท่านั้นเอง

โดย Galaxy Z Fold 3 เป็นหนึ่งเดียวในบรรดาสมาร์ทโฟนที่นำมาเปรียบเทียบทั้งหมดที่สามารถใช้งานควบคู่ไปกับปากกาสไตลัสได้ ซึ่งก็คือ S Pen ของ Samsung นั่นแหละ แต่เป็นรุ่นพิเศษ Fold Edition และ S Pen Pro ที่ออกแบบมาสำหรับใช้บนหน้าจอ Ultra-Thin Glass ของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้โดยเฉพาะ 

อ้อ อีกอย่างหนึ่ง อันนี้ Samsung เตือนเอาไว้เลยว่าอย่าลอกฟิล์มกันรอยจอด้านในของ Galaxy Z Fold 3 ออกเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อุปกรณ์เสียหายได้ ฟิล์มกันรอยที่ไม่ได้รับการรับรองอาจทำให้เซ็นเซอร์ทำงานผิดปกติ ไปจนถึงอาจจะถึงขั้นพังต้องส่งซ่อมเปลี่ยนจอใหม่ทันที สำหรับจอนอกก็ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วนเพราะครอบทับด้วยกระจกนิรภัย Gorilla Glass Victus ที่มีความแข็งแรงสูง

Galaxy Z Fold 3 มีกล้องหน้าซ่อนใต้หน้าจอด้วย 

พูดถึงเรื่องความทนทานของหน้าจอแสดงผลแล้ว ตรงนี้ทาง iPhone 13 Series ก็ไม่ได้มีภาษีที่ด้อยกว่าเพื่อน เพราะมีกระจก Ceremic Shield ป้องกันแรงกระแทกและการขีดข่วนดีกว่ากระจกทั่วไป จากที่ใช้งานมา แทบจะไม่มีรอยขนแมวเลย แต่ถ้าจะเอาเซฟ แนะนำให้ติดฟิล์มกันรอยเพิ่มอีกชั้นจะดีกว่า

การใช้งานทั่วไป

ตรงนี้แหละที่ Galaxy Z Fold 3 จะดูดีที่ดีกว่าใครเพื่อน เพราะจอด้านในมีขนาดใหญ่ขึ้น 7.6 นิ้ว (พอ ๆ กับ iPad mini เลย) สามารถแบ่งแท็บหน้าจอได้สูงสุดถึง 3 แอป แถมยังเลือกปัดหมุด 3 แอปที่ใช้งานบ่อยได้อีกต่างหาก ต่างจาก Galaxy Z Flip 3 ที่แบ่งได้แค่เพียงสองแอปเท่านั้น ในส่วน iPhone 13 Series นี่หนักเลย เพราะไม่สามารถแบ่งแอปหน้าจอได้

iPhone 13 Series ทำได้แค่แบบ PiP บนแอป YouTube และ Netflix 

นอกจากนี้ อย่างที่บอกไปข้างต้น Galaxy Z Fold 3 ยังสามารถใช้งานควบคู่ไปกับปากกา S Pen ได้อีกด้วย เหมาะกับสายทำงาน จะจด จะขีดเขียนอะไรทำได้หมด แต่ต้องบอกก่อนว่าใช้ได้เฉพาะแค่ S Pen รุ่น Fold Edition และ S Pen Pro นะ รุ่นอื่นใช้ไม่ได้ ไม่แนะนำให้ลองด้วย เพราะอาจทำให้จอด้านในของ Galaxy Z Fold 3 เสียหายได้

ทั้งนี้ แม้ว่า Galaxy Z Flip 3 และ iPhone 13 Series การใช้งานด้านทำงานจะไม่ดีเท่ากับตัว Fold แต่หากมองในแง่ของ Lifestyle ทั่วไป ตรงนี้สมาร์ทโฟนทั้งสองถือว่าสอบผ่านมาก ๆ นะ ดีคนละแบบ ถ้าอยากครบเครื่องทีเดียวจบ iPhone 13 Series ตอบโจทย์ ข้อจำกัดน้อยกว่าตัว Flip เพราะตัวนั้นเหมือนชูจุดเด่นเรื่องดีไซน์ที่มีหลายสีและการพกพาที่ง่ายมากกว่า

แต่ถ้าเป็นรุ่น Pro Max ต้องยอมรับเลยว่าแอบหนักไปนิดนึง 

แต่การใช้งาน Lifestyle ทั่วไปบน Galaxy Z Flip 3 ก็อยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้อยู่นะ จะติดปัญหาตรงที่เปิดปิดหน้าจอบ่อยนี่แหละ มันจะมีแอบกังวลเรื่องบานพับนิดหน่อย

อีกหนึ่งประสบการณ์การใช้งานที่มือถือจอพับทั้งสองเหนือกว่า iPhone 13 Series ก็คือการใช้งานแบบแฮนด์ฟรี โดย Galaxy Z Fold 3 และ Galaxy Z Flip 3 สามารถเปิด YouTube หรือ Netflix ตั้งโต๊ะเอาไว้ ไม่ต้องถือให้เมื่อยมือ หรือหาอุปกรณ์เสริม ซึ่งตรงนี้แม้ว่า iPhone 13 Series จะเหนือกว่าในเรื่องของการใช้งานทั่วไป แต่ก็ไม่สามารถมอบประสบการณ์ตรงนี้ให้กับผู้ใช้งานได้

เสียดายมาก ๆ ที่ iPhone 13 Series ในปีนี้ ยังมาพร้อมกับพอร์ต Lightning อยู่ แม้ว่า MacBook และ iPad ส่วนมากจะเปลี่ยนมาใช้เป็น USB-C แล้ว ตรงนี้เวลาจะชาร์จก็ต้องไปหาสาย Lightning มาชาร์จแยกอีกที แทนที่จะทำได้ง่าย ๆ ชาร์จกับอะแดปเตอร์ MacBook หรือ iPad ไปเลย ต่างจาก Galaxy Z Fold 3 และ Galaxy Z Flip 3 ที่ใช้พอร์ตสากลอย่าง USB-C ไม่ต้องพกสายในกระเป๋าหรือวางไว้บนโต๊ะเยอะให้มันรก

ปิดท้ายกันที่เรื่องแบตเตอรี่ แม้ว่า iPhone 13 Series จะให้มาน้อยสุด 2438 – 4373 mAh แต่พอมาใช้งานจริง ๆ ต้องบอกว่า เออมันค่อนข้างอึดอยู่พอสมควรเลย อยู่ได้นานกว่า Galaxy Z Fold 3 ที่อัดแบตมาให้ 4400 mAh เสียอีก แต่ตรงนี้พอเข้าใจได้ว่า Fold มาด้วยกันสองจอ แถมขนาดจอยังใหญ่กว่าฝั่ง Apple อยู่พอสมควรอีกต่างหาก 

การถ่ายภาพ

มาถึงเรื่องการถ่ายภาพการกันบ้าง โดยสมาร์ทโฟนที่นำมาเปรียบในครั้งนี้ต่างมาพร้อมกับสเปคที่จัดเต็มระดับเรือธงด้วยกันทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าพอเอามาถ่ายใช้งานจริง ๆ คุณภาพก็ไล่เลี่ยกันนั่นแหละ ขึ้นอยู่กับฝีมือคนถ่าย การจัดองค์ประกอบอะไรแบบนี้มากกว่า เอาล่ะ มาดูภาพตัวอย่างกันเลยดีกว่า

ภาพตัวอย่าง (Galaxy Z Fold 3 > iPhone 13 Pro > Galaxy Z Flip 3 > iPhone 13) 

 

จากภาพตัวอย่างจะสังเกตเห็นได้ว่าโทนสีของสมาร์ทโฟนจอพับจาก Samsung ทั้งสองจะออกมาในโทนเย็น ดูแล้วสบายตากว่า (ความคิดเห็นส่วนตัว) แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของความละเอียดของรูปล่ะก็ ส่วนตัวให้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ก้อนเมฆด้านหลังดูมีรายละเอียดเยอะกว่าเล็กน้อย 

อีกหนึ่งจุดที่สมาร์ทโฟนจอพับได้อย่าง Galaxy Z Fold 3 และ Galaxy Z Flip 3 เหนือกว่า iPhone 13 Series ในเรื่องของการถ่ายภาพก็คือ Flex Mode เพราะสามารถตั้งเอาไว้เฉย ๆ ถ่ายได้เลย ไม่ต้องถือให้เมื่อยมือ ตรงนี้จะเหมาะมาก ๆ กับพวก Night Mode หรือการถ่ายภาพในที่แสงน้อย รวมไปถึงการถ่ายกล้องหน้าด้วย ที่ไม่ต้องยื่นมือยื่นแขน แค่วางเอาไว้เฉย ๆ ก็ถ่ายได้แล้ว

ภาพถ่ายจาก Flex Mode ของ Galaxy Z Flip 3

ส่วนเรื่องงานวิดีโอ อันนี้บอกเลยว่า iPhone 13 Series สุดจริง เรียกได้ว่าแทบจะเป็นจุดเด่นต้น ๆ ของสมาร์ทโฟนซีรีส์นี้เลยก็ว่าได้ สามารถเอาไปใช้ถ่าย VLOG ตัดต่อนิดหน่อย พร้อมลง YouTube หรือ Facebook ได้เลย ตัวอย่างงานวิดีโอ สามารถดูได้ที่คลิปด้านล่างเลยครับใน #ขิงขำขัน ของช่อง YouTube: DroidSans ได้เลยครับผม

 

Play video

 

สรุปรุ่นไหนเหมาะกับการใช้งานแบบไหน

สรุปแล้วหากใครต้องการมือถือที่ซื้อทีเดียวจบ ยังไงก็ต้องจิ้มไปที่ iPhone 13 Series แม้ว่าฟีเจอร์บางอย่าง การ Multitasking จะสู้ฝั่งสมาร์ทโฟนจอพับไม่ได้ แต่ในเรื่องของความสะดวกสบายในการใช้งาน ก็คงต้องเลือกที่ iPhone 13 Series 

 

 

แต่ถ้าใครอยากได้มือถือที่เอามาใช้ทำงาน จดโน๊ตต่าง ๆ ในที่ประชุม แบ่งหน้าจอ Multitask เยอะ ๆ ตรงนี้ Galaxy Z Fold 3 ตอบโจทย์มาก ๆ ครับ จากที่ผมเคยรีวิวมา ก็พบว่ามันแทบจะเอามาใช้เป็นเครื่องหลักได้แล้วล่ะ แม้จะหนักไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เทอะทะ ไม่เจอปัญหายิบย่อยเหมือนตอนเจเนเรชั่นแรก ๆ

ปิดท้ายกันที่ Galaxy Z Flip 3 รุ่นนี้สำหรับการใช้งานทั่วไป ผมให้ผ่าน พกพาสะดวกดี ดูแฟชั่น เหมาะกับสาวๆ เก็บใส่กระเป๋าถือใบเล็กๆ หรือถ้าเป็นผู้ชายก็เอาใส่กระเป๋าเสื้อด้านหน้าก็ยังได้อะ

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะรุ่นไหน มันก็ตอบโจทย์การใช้งานกันคนละแบบ Lifestyle ของบางคนอาจจะเหมาะกับ iPhone 13 Series มากกว่า หรือบางคนอาจจะเทไปทาง Galaxy Z Fold 3 หรือ Galaxy Z Flip 3 บทความนี้เป็นเพียงการรีวิวสั้น ๆ ประกอบการตัดสินใจให้กับเพื่อน ๆ นะครับผม หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ