เพื่อนสมาชิกหลายๆท่านคงได้ติดตามข่าวๆหนึ่งใน droidsans ที่ถือว่า Hot สุดๆ สู้กับอากาศร้อนเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ข่าวที่ว่าก็คือ Galaxy S5 รองรับ USB3.0 แต่ทำไมแถมสาย USB 2.0 มาให้?? ซึ่งข่าวนี้ได้รับความสนใจกันอย่างกว้างขวาง ลากยาวไปถึง กระทู้ใน Pantip ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แตกประเด็นไปถึงประเทศชนชั้น 2 ชนชั้น 3 กันเลยทีเดียว แต่สุดท้ายแล้วก็น่าจะ Happy Ending ไปแล้วนะครับ เพราะ Samsung Support รีบแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว (แต่ทั่วถึงหรือเปล่าดูกันอีกที) ทว่าจุดประสงค์ของบทความชิ้นนี้ไม่ได้จะมาสานต่อเรื่องราวที่กล่าวมาแต่อย่างใด แต่เราจะมาแตกประเด็นเรื่อง มาตรฐาน USB 3.0 กับ USB 2.0 นี่มันแตกต่างกันอย่างไรบ้าง? เราจะสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจาก USB 3.0 ได้อย่างไร? ลองมาดูรายละเอียดกันครับ 

ข้อแตกต่างของ USB 3.0 และมันดีกว่า USB 2.0 อย่างไร?

1. ความเร็วการส่งข้อมูล : ตามทฤษฎีแล้ว USB 2.0 นั้นสามารถส่งข้อมูลได้ในอัตราความเร็วสูงสุดที่ 480 Mbps ในขณะที่ USB 3.0 สามารถส่งข้อมูลได้เร็วสูงสุดที่ 4.8 Gbps เรียกว่า SuperSpeed นั่นคือเร็วกว่าเดิมประมาณ 10 เท่าเลยทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นความเร็วที่ได้จริงจะขึ้นอยู่กับตัวอุปกรณ์ที่ใช้และชนิดของ Bus ที่เป็น Host ของ USB Port ด้วย ดังตารางด้านล่าง

Bus Type

Max Transfer Rate

USB 3.0 Transfer Speed

USB 2.0 Transfer Speed

PCIe 1.0a

2.5 Gbps

2.5 Gbps

480 Mbps

PCIe 2.0/2.1

5 Gbps

4.8 Gbps

480 Mbps

PCIe 3.0

8 Gbps

4.8 Gbps

480 Mbps

ExpressCard 1.0

2.5 Gbps

2.5 Gbps

480 Mbps

ExpressCard 2.0

5 Gbps

4.8 Gbps

480 Mbps

 

2. สายไฟที่เพิ่มขึ้นและหัวต่อที่ใหญ่ขึ้น : ตามมาตรฐาน USB 3.0 นั้นจะกำหนดให้มีสายไฟเพิ่มขึ้นจาก USB 2.0 เป็นเท่าตัว คือจาก 4 เส้นเพิ่มเป็น 8 เส้น ดังนั้นเราจึงสังเกตได้ชัดเจนว่า สายของ USB 3.0 นั้นจะหนากว่าสาย USB 2.0 พอสมควร และตัวหัวต่อเองก็จะใหญ่ขึ้นตามสายไฟที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ตามภาพด้านล่าง หัวต่อที่เป็น USB 3.0 จะใช้ “สีฟ้า” เป็นสัญลักษณ์เพื่อกันความสับสนกับ USB 2.0 และมีส่วนที่ยื่นออกมาเพิ่มเติมในชนิด B และ Micro B เพื่อรองรับ SuperSpeed และการใช้พลังงานที่มากขึ้น ในขณะที่หัวต่อแบบ A จะมีขนาดเท่าเดิมแต่จะเพิ่ม PIN ด้านในเป็น 2 เท่า

3. การใช้พลังงาน : แน่นอนว่าการส่งข้อมุลแบบ SuperSpeed ของ USB 3.0 นั้นต้องใช้พลังงานมากกว่า USB 2.0 เป็นธรรมดา ดังนั้นตัว USB port ที่เป็น USB 3.0 จึงจ่ายไฟได้สูงสุดถึง 900 mA ในขณะที่ USB 2.0 port นั้นจ่ายไฟได้สูงสุดที่ 500 mA นอกจากนั้นตัว port ที่เป็น USB 3.0 ยังฉลาด สามารถปรับการจ่ายไฟเฉพาะตอนที่ต้องการได้ ตอนที่ใช้น้อยก็จ่ายไฟน้อยลง หรือตัดไฟไปเลยตอนที่ไม่ได้ใช้

4. Bandwidth ดีกว่า : เนื่องจาก USB 3.0 นั้นสามารถส่งและรับข้อมูลได้สองทางพร้อมกัน ในขณะที่ USB 2.0 นั้นต้องทำทีละอย่าง จะส่งก็ส่งให้เสร็จก่อนแล้วค่อยรับข้อมูลได้ จึงทำให้ USB 3.0 เร็วกว่า

 

ว่าด้วยเรื่อง USB 3.0 ใน Samsung Galaxy…

คุยกันเรื่องทฤษฎีมาพอเบาะๆ เรามาดูเรื่องที่เกี่ยวกับ USB 3.0 บน Samsung Galaxy รุ่นใหม่ๆ อย่าง Note 3 และ S5 กันดีกว่า โดยมือถือทั้ง 2 รุ่นถือเป็นรุ่นแรกๆของโลกที่ใส่พอร์ต Micro USB 3.0 มาให้ในตัวเครื่องเลย และแถมสาย USB 3.0 มาให้ใช้กันด้วย (เข้าใจตรงกันนะ) โดยจุดประสงค์หลักก็เพื่อใช้เป็น“จุดขาย” อันนี้มันแน่นอนอยู่แล้วเพราะมีแล้วถือว่าล้ำหน้ากว่ารุ่นอื่น แต่ถามว่ามันเป็นแค่ Gimmick ขายของแต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้หรือเปล่า? อันนี้ไม่ใช่แน่นอน เพราะ USB 3.0 นั้นมีประโยชน์ในการใช้งานชัดเจนตามที่กล่าวมาแล้วคือ ส่งข้อมูลเร็วกว่า และ ชาร์จ(จากคอม)เร็วกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องมั่นใจว่าอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่นั้นเป็น USB 3.0 ตั้งแต่ต้นจนจบ คือ มือถือและสายข้อมูลเป็น USB 3.0 แล้ว พอร์ต USB บนคอมพิวเตอร์ก็ต้องเป็น USB 3.0 ด้วยเหมือนกันถึงจะใช้งานได้สมบูรณ์ วิธีสังเกตง่ายๆคือพอร์ตจะมี “สีฟ้า” ครับ หรือบางครั้งก็อาจจะใช้สัญลักษณ์กำกับไว้แทน เช่น “SS” (SuperSpeed) เป็นต้น

 

เอาสาย USB 2.0 ไปเสียบ port ที่เป็น USB 3.0 ได้มั้ย?

ได้แน่นอนอยู่แล้วครับ เพราะ USB 3.0 นั้นรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่เป็น USB 2.0 ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการเสียบ port ประเภทเดียวกันด้วย เช่น เราสามารถเอาสาย Micro USB 2.0 ของ Galaxy Note 2 มาเสียบที่พอร์ต Micro USB 3.0 ของ Galaxy Note 3 เพื่อใช้งานได้ตามปกติ โดยเอาหัวต่อไปเสียบในช่องที่เล็กกว่าของ Micro USB 3.0 ได้เลย

แต่เราควรจะพึงระลึกไว้ด้วยว่า ความเร็วในการส่งข้อมูลและการชาร์จไฟ(จากคอมพิวแตอร์) ก็จะกลับไปเป็นแบบ USB 2.0 ด้วยเช่นกัน


USB 3.0 ส่งข้อมูลเร็วกว่าเดิมจริงหรือไม่?

จริงแท้แน่นอน ความเร็วในการส่งข้อมูลนั้นถือเป็นตัวชูประเด็นของ USB 3.0 เลยครับ แต่ความเร็วที่บอกว่า เร็วกว่า USB 2.0 ถึง 10 เท่า นั้นเป็นเพียงทางทฤษฎี การใช้งานจริงนั้นอาจจะไม่เร็วขนาดนั้น เพราะมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อความเร็วในการส่งข้อมูล เช่น สื่อที่ใช้อ่านและบันทึกข้อมูล, ขนาดไฟล์ที่ส่ง เป็นต้น ซึ่งทาง PhoneArena ได้ทำการทดสอบการส่งไฟล์ ระหว่างหน่วยความจำภายในของ Samsung Galaxy Note 3 กับคอมพิวเตอร์ที่มี harddisk แบบ SSD ได้ผลลัพธ์ออกมาตามตารางด้านล่าง

ความเร็วในการส่งข้อมูลจะสูงขึ้นอย่างชัดเจนในกรณีการส่งข้อมูลที่เป็น ไฟล์ขนาดใหญ่ๆ เช่น หนังและวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอ 4K ที่ถ่ายจากมือถือนั้น USB 3.0 จะช่วยได้เยอะ การ copy ไฟล์แบบนี้ด้วย USB 3.0 จะเร็วกว่า USB 2.0 อยู่ประมาณ 2.4 เท่า อย่างไรก็ตามเมื่อทำการ copy ไฟล์ขนาดเล็กและมีจำนวนมาก อย่างเช่น เพลงและรูปถ่าย นั้นพบว่า USB 3.0 ไม่ได้เร็วกว่าสักเท่าไหร่ และยิ่งไฟล์ขนาดเล็กลงไม่ถึง 1 MB แต่มีจำนวนมากๆ การ copy ด้วย USB 3.0 กลับทำได้แย่กว่า USB 2.0 ซะงั้นเลย

 

สรุปว่ามันชาร์จไฟเร็วขึ้นกว่าเดิมจริงเหรอ?

ประเด็นนี้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการใช้สาย USB 3.0 จะช่วยให้ชาร์จมือถือได้เร็วขึ้นกว่าการใช้สายที่เป็น USB 2.0 แบบเดิม ความเข้าใจแบบนี้ไม่ถูกต้องซะทีเดียวเพราะ การชาร์จที่บอกว่าเร็วขึ้นนั้นคือ การชาร์จผ่านทางพอร์ต USB 3.0 บนคอมพิวเตอร์เท่านั้น เพราะพอร์ต USB 3.0 จะจ่ายไฟได้ถึง 900 mA มากกว่าพอร์ต USB 2.0 ที่จ่ายไฟได้ 500 mA อยู่เกือบเท่าตัว ดังนั้นการชาร์จจากพอร์ต USB 3.0 จึงเร็วกว่า ไม่ว่าจะใช้สาย USB ที่เป็น 2.0 หรือ 3.0 ก็ตาม กรณีนี้พูดถึงสาย USB มาตรฐานที่มาจากผู้ผลิตโดยตรง ไม่นับรวมสาย USB ที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไปราคา 50-100 บาทนะครับ

อย่างไรก็ตาม การชาร์จที่เร็วที่สุดคือการใช้ Wall Charge หรือ Adapter ที่แถมมากับเครื่อง ซึ่ง Note 3 และ S5 นั้นก็มี Adapter ขนาด 5V จ่ายไฟได้ 2A แถมมาให้ จะใช้สาย USB แบบเก่าแบบใหม่ก็ไม่เกี่ยวกัน เพราะ Note 3 และ S5 สามารถชาร์จได้เต็มที่ที่ 2A อยู่แล้ว ผมลองทำตารางสรุปการชาร์จมาให้ดูอีกครั้งเพื่อความเข้าใจ

โทรศัพท์มือถือ

สาย USB

USB port หรือ Adapter

ผลที่ได้

Micro USB 2.0

Micro USB 2.0

Micro USB 2.0

ชาร์จที่ 0.5 A

ช้า

Micro USB 2.0

Micro USB 2.0

Micro USB 3.0

ชาร์จที่ 0.9 A

ปานกลาง

Micro USB 2.0

Micro USB 2.0

Adapter 2A

ชาร์จได้ถึง 2 A

เร็ว

Micro USB 3.0

Micro USB 2.0

Micro USB 2.0

ชาร์จที่ 0.5 A

ช้า

Micro USB 3.0

Micro USB 2.0

Micro USB 3.0

ชาร์จที่ 0.9 A

ปานกลาง

Micro USB 3.0

Micro USB 2.0

Adapter 2A

ชาร์จได้ถึง 2 A

เร็ว

Micro USB 3.0

Micro USB 3.0

Micro USB 2.0

ชาร์จที่ 0.5 A

ช้า

Micro USB 3.0

Micro USB 3.0

Micro USB 3.0

ชาร์จที่ 0.9 A

ปานกลาง

Micro USB 3.0

Micro USB 3.0

Adapter 2A

ชาร์จได้ถึง 2 A

เร็ว


จริงๆแล้วสาย USB ที่ใช้ก็มีผลต่อการชาร์จ?

คำตอบคือ “ใช่” ครับ เพราะคุณภาพของสาย USB ที่นำมาใช้ต่อระหว่างมือถือกับ Adapter ก็เป็นเรื่องสำคัญต่อความเร็วในการชาร์จเช่นกัน เพราะถึงแม้ตัว Adapter จะสามารถจ่ายไฟได้ถึง 2A แต่ถ้าตัวสายไม่สามารถนำไฟฟ้าไปให้มือถือได้เต็ม 2A การชาร์จนั้นก็จะช้าลงเป็นเรื่องธรรมดาคุณภาพของสายไฟไม่เกี่ยวกับมาตรฐาน USB 3.0 หรือ 2.0 แต่อย่างใด แต่จะใช้มาตรฐาน AWG หรือ American Wire Gauge ในการวัดประสิทธิภาพในการนำไฟฟ้าของสายไฟ โดยถ้าเราสังเกตสาย USB ดีๆ จะเห็นมีตัวหนังสือพิมพ์กำกับอยู่บนสาย เช่น 24 AWG, 23 AWG หรือ 22 AWG ตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งนำไฟฟ้าได้ดี ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าไม่ผิดพลาดสาย USB ที่ Samsung แถมมาให้กับมือถือจะอยู่ที่ 23-24 AWG ส่วนแท็บเล็ตน่าจะเป็น 22 AWG แต่สาย USB ที่ขายทั่วไปเส้นละ 50-100 บาทนั้นจะเป็น 28 AWG ครับ นอกจากนั้น ความยาวของสายก็มีส่วน ยิ่งยาวยิ่งชาร์จช้าลง เราจึงเห็นว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่จะแถมสาย USB ยาวไม่เกิน 1-1.5 เมตร เพราะไม่งั้นต้องไปใช้สายไฟหนากว่าเดิม

อย่างไรก็ตามในแง่ของความเร็วในการชาร์จ ถ้าเราใช้สาย USB ที่ผู้ผลิตจัดมาให้อยู่แล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรเป็นพิเศษ เพราะเป็นสายที่เค้าต้องตรวจสอบมาแล้วว่า สามารถนำไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่และเหมาะสมกับ Adaptor ที่แถมมาให้ด้วยเช่นกัน

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

USB wikipedia
AWG wikipedia
USRobotics
Diffen
PhoneArena
Samsung US FAQ