โซนี่ประเทศไทยได้เปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่หลากหลายรุ่นเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็เป็นรุ่นที่ถูกนำไปเผยโฉมครั้งแรกในงาน IFA 2017 ที่ผ่านมานั่นเอง หูฟังใหม่รอบนี้นำทัพโดยตระกูล 1000X ที่อัพเกรดจากหูฟังฟูลไซส์ของปีที่แล้วออกมาเป็น 3 รุ่นใหม่ครอบคลุมทุกความถนัดใช้งาน แล้วก็ยังได้เปิดตัวหูฟังสีสันสดใสอย่างตระกูล h.ear เพิ่มอีกด้วย โดยมาพร้อมกับสีใหม่ๆ ให้เลือกตามความชอบเช่นเคย

โซนี่บอกว่าในปีที่แล้วที่ได้เปิดตัว MDR-1000X ออกมา ได้กระแสตอบรับที่ดีมากๆ สามารถทำยอดขายได้ดีกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆ ในผลิตภัณฑ์กลุ่ม Noise Canceling และในโซนเอเซียก็สามารถทำยอดขายได้มากกว่คู่แข่งถึง 1.5 เท่า ทำให้เกิดการสานต่อตระกูลนี้ออกมากลายเป็น 3 form factor นั่นก็คือ

WH-1000X: มาจาก Wireless Headband คือหูฟังแบบครอบหู

WI-1000X: มาจาก Wireless In-ear เป็นหูฟังแบบ in-ear

WF-1000X: มาจาก Wireless Free เป็นหูฟัง in-ear ที่ไร้สายแบบไม่มีสายต่อออกมาเลย

 

หูฟังตระกูล 1000X

WH-1000XM2

สำหรับรุ่นนี้ก็คือรุ่นอัพเกรดของ MDR-1000X เมื่อปี 2016 ที่ได้รับคำชมในเรื่องประสิทธิภาพในการตัดเสียงรบกวนเป็นอย่างมาก โดยรุ่นใหม่นี้ได้ปรับเพิ่มการเชื่อมต่อกับแอป Headphone Connect บนมือถือ เพื่อช่วยจับสภาพแวดล้อมเพื่อประมวลผลการทำ Noise Canceling ให้เหมาะกับอิริยาบถของเรา เช่น ถ้านั่งอยู่ก็สามารถปรับให้ตัดเสียงรบกวนเยอะ เมื่อเดินก็ลดระดับการตัดเสียงรบกวนเพื่อให้สังเกตรอบข้าง แล้วก็ยังมี Personal NC Optimizer สำหรับปรับการตัดเสียงให้เหมาะกับทรงหน้าของคนใส่อีกด้วย แน่นอนว่าฟีเจอร์เด่นอย่าง Quick Attention ที่ใช้มือแตะข้างขวาหูฟังเพื่อปิด NC ให้เสียงรอบข้างเข้ามาก็ยังอยู่เหมือนรุ่นปีที่แล้วครับ

หน้าตาเหมือนเดิมเลยครับ

นอกจากนี้แล้วโซนี่ยังได้อธิบายไว้ว่าเวลาขึ้นเครื่องบินนั้น ความดันอากาศที่เปลี่ยนแปลงก็มีผลทำให้เสียงและระบบ Noise Canceling มีความเปลี่ยนแปลงด้วย WH-100XM2 จึงถูกออกแบบมาให้วัดความดันอากาศได้ และปรับเสียงให้เหมาะสมกับสภาพความดันได้ดี และแบตเตอรี่การใช้งานแบบไร้สายก็ยาวนานขึ้นถึง 30 ชั่วโมงครับ

สเปค

  • ไดรเวอร์ขนาด 40 มม.
  • ช่วงความถี่ตอบสนองผ่านสาย 4 Hz – 40,000 Hz
  • ช่วงความถี่ตอบสนองผ่าน Bluetooth
    • Sampling 44.1 kHz: 20 Hz – 20,000 Hz
    • Sampling 96 kHz: 20 Hz – 40,000 Hz (LDAC)
  • Bluetooth 4.1, รองรับ aptX HD, LDAC
  • ควบคุมการเล่นเพลงผ่านการสัมผัสข้างหูฟัง
  • ใช้แอมป์ S-Master HX, รองรับ DSEE HX
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่อง 30 ชั่วโมง, สแตนด์บาย 40 ชั่วโมง, ชาร์จผ่าน Micro USB
  • รองรับชาร์จไว ชาร์จเพียง 10  นาที ใช้งานได้ 70  นาที
  • มาพร้อมสายขั้ว 3.5 มม. สำหรับการฟังผ่านสายหรือเมื่อแบตหมด
  • มีสี ดำ และ ทองมีสี ดำ และ ทอง

ราคา WH-1000XM2 นั้นจะอยู่ที่ 14,990 บาท วางขายในช่วงเดือนตุลาคม

 

WI-1000X

ใครที่ถนัดหูฟัง in-ear อาจจะสนใจตัวนี้ครับ เพราะว่าโซนี่ยกความสามารถในการตัดเสียงรบกวนระดับเดียวกับฟูลไซส์มาใส่ไว้ใน WI-1000X ตัวนี้นั่นเอง รวมทั้งการตรวจจับท่าทางของเราเพื่อปรับการทำงานของ NC ก็มาเหมือนรุ่นใหญ่เป๊ะๆ แต่จะตัดตัว Quick Attention ที่เป็นการแตะหูฟังเพื่อฟังเสียงภายนอกออก โดยลักษณะของเจ้าตัวนี้จะเป็นหูฟังแบบคล้องคอแล้วมีสายต่ออกมาเป็น in-ear นั่นเอง

ในส่วนของไดรเวอร์นั้นจะต่างออกไปหน่อยเพราะเป็นการนำไดรเวอร์แบบไดนามิคและ Balance Armature มาผสมกันหรือเรียกว่าเป็น Hybrid driver ซึ่งจะทำให้ขับเสียงย่านต่างๆ ได้ชัดใสขึ้นกว่าไดรเวอร์ไดนามิคล้วน และมีลูกเล่นในการเก็บสายหูฟังด้วยการกดเข้ากับช่องล็อกบนก้าน ลักษณะคล้าย zip lock ยังงั้นเลยครับ เก็บได้ดีไม่หลุดง่ายด้วย

สเปค

  • ไดรเวอร์แบบ hybrid เป็นแบบไดนามิคขนาด 9 มม. และไดรเวอร์ Balance Armature
  • ช่วงความถี่ตอบสนองผ่านสาย 3 Hz – 40,000 Hz (มีสายสำหรับตอฟังด้วย)
  • ช่วงความถี่ตอบสนองผ่าน Bluetooth
    • Sampling 44.1 kHz: 20 Hz – 20,000 Hz
    • Sampling 96 kHz: 20 Hz – 40,000 Hz (LDAC)
  • Bluetooth 4.1, รองรับ LDAC, aptX HD
  • ใช้แอมป์ S-Master HX, รองรับ DSEE HX
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ 10  ชั่วโมง เมื่อใช้งาน NC / 14  ชั่วโมง เมื่อปิด NC, ชาร์จผ่าน Micro USB
  • รองรับชาร์จไว ชาร์จเพียง 15  นาที ใช้งานได้ 70  นาที
  • มาพร้อมสายขั้ว 3.5 มม. สำหรับการฟังผ่านสายหรือเมื่อแบตหมด
  • มีสี ดำ และ ทองมีสี ดำ และ ทอง

ราคา WI-1000X นั้นจะอยู่ที่ 11,990 บาท วางขายในช่วงเดือนตุลาคม

 

WF-1000X

ถ้าใครจำ Xperia Ear กันได้ เจ้า WF-1000X ก็จะคล้ายๆ กับ Xperia Ear ครับ แต่มีการปรับดีไซน์ให้ดูหรูหราขึ้น พร้อมมาในฐานะหูฟังสำหรับการฟังเพลงโดยตรง (Xperia Ear มีข้างเดียว สำหรับเป็น Assistant) จุดเด่นก็คงไม่ต้องบอกเยอะ เพราะ WF-1000X ตัวนี้เด่นที่ตัวมันไม่มีสายเลย และยังรองรับการตัดเสียงรบกวนในตัวด้วย โดยจะถูกลดฟีเจอร์ลงจากตัว in-ear ข้างบนไปในส่วนของการปรับ NC อัตโนมัติตามท่าทางของเรา เหลือเพียงความสามารถในการเปิดให้เสียงภายนอกเข้าได้จากการคุมผ่านแอปครับ

ความสามารถในเชิง Wireless จะลดลงมาหลายอย่างครับ เพราะตัวนี้จะไม่รับ LDAC หรือ aptX / aptX HD ครับ รวมถึงไม่ได้แอปม์ S-Master HX ด้วย คาดว่าน่าจะเพราะขนาดของมันที่เล็กมาก แต่เห็นเล็กๆ อย่างนี้กำลังขับไม่ธรรมดาครับ ผมได้ลองฟังมาแล้วหูฟังสามารถขับเสียงออกมาได้ดังมากทีเดียว ส่วนการชาร์จนั้นจะชาร์จผ่านเคสนั่นเอง

สเปค

  • ไดรเวอร์ไดนามิคขนาด 6 มม.
  • ช่วงความถี่ตอบสนองผ่านสาย 20 Hz – 20,000 Hz (ผ่าน Bluetooth อย่างเดียว)
  • Bluetooth 4.1
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ 3 ชั่วโมง, ชาร์จด้วยเคสได้ 2 รอบ, รวมแล้วใช้งานได้ 9 ชั่วโมง
  • รองรับชาร์จไว ชาร์จเพียง 15  นาที ใช้งานได้ 70  นาที
  • มาพร้อมสายขั้ว 3.5 มม. สำหรับการฟังผ่านสายหรือเมื่อแบตหมด
  • มีสี ดำ และ ทองมีสี ดำ และ ทอง

ราคา WF-1000X นั้นจะอยู่ที่ 7,990 บาท วางขายในช่วงเดือนตุลาคม

 

หูฟังตระกูล h.ear

หูฟัง h.ear นั้นเปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยโซนี่ได้เน้นจุดเด่นของตระกูลที่ไปที่ดีไซน์และสีสัน ที่จะเลือกการใช้สีบนตัวหูฟังเป็นสีผสมโทนต่างๆ โดยในปีนี้โซนี่ได้เลือกชุดสีใหม่ 5 สีคือ แดง Twilight Red, ทอง Pale Gold, เขียว Horizon Green, ฟ้า Moonlit Blue และ ดำเทา Grayish Black มีรุ่นใหม่ๆ ในตระกูล h.ear ดังนี้

 

h.ear on 2 Wireless NC (WH-H900N)

อัพเกรดจากรุ่นแรกโดยปรับการตัดเสียงรบกวนให้มีโหมด Ambient Noise เพื่อฟังเสียงรอบข้าง, รองรับ Quick Attention และเพิ่มระบบทัชข้างหูฟังเข้าไปสำหรับควบคุมเพลงได้ ใช้งานได้ 28 ชั่วโมงแบบเปิด NC, 34 ชั่วโมงเมื่อปิด NC และรองรับการใช้งาน DSEE HX และ LDAC ตัวหูฟังสามารถตอบสนองช่วงความถี่ได้ตั้งแต่ 5 Hz – 40,000 Hz

ราคาอยู่ที่ 11,990 บาท เริ่มวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม

 

h.ear on 2 Wireless Mini (WH-H800)

ตัวนี้จะคล้ายกับ h.ear on Wireless NC รุ่นแรก แต่ลดขนาดลงมาเพื่อตอบโจทย์คนที่มีศีรษะขนาดเล็ก หรือเด็กๆ ทำให้สามารถใส่เข้าหัวศีรษะได้พอดีกว่ารุ่นปกติ น้ำหนักเบาเพียง 180 กรัม ใช้งานได้นาน 24 ชั่วโมง ฟีเจอร์ต่างๆ จะถูกลดลงมาด้วย คือ ไม่มีส่วนของการตัดเสียงรบกวน, ไม่มี Touch control แต่ฟีเจอร์อย่าง DSEE HX และ LDAC ยังมีมาให้เช่นเดิม และการตอบสนองความถี่ก็เหมือนกันที่ 5 Hz – 40,000 Hz

ราคาอยู่ที่ 7,990 บาท วางขายในช่วงเดือนตุลาคม

 

h.ear on 2 (MDR-H600A)

h.ear on 2 ตัวนี้ผมสอบถามมาแล้วว่าต่างจากรุ่นแรกอย่างไรบ้าง คำตอบคือเป็นการเพิ่มสีขึ้นมาเฉยๆ ครับ ในเชิงสเปคต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม (ผมเข้าใจว่าดูจากรหัสรุ่น MDR ได้ว่าเป็นตระกูลเก่า)

ราคาตัวนี้จะเท่ากับ h.ear on รุ่นแรกที่ 6,290 บาท ครับ วางขายช่วงตุลาคมเช่นกัน

อ้อ ผมเห็นว่าตัว h.ear on รุ่นแรกกำลังจัดลดราคาอยู่บน Sony Store ด้วย ใครที่ไม่ได้โดนใจกับสีใหม่ก็สามารถเลือกรุ่นเก่าได้ครับ

 

h.ear in 2 Wireless (WI-H700)

ตัวนี้ก็จะคล้ายๆ รุ่น minor change ของ h.ear in Wireless รุ่นแรกครับ เพราะไม่เชิงการฟังเพลงแล้วมี LDAC ใส่มาให้เหมือนเดิม แต่ไปปรับที่การใช้งานให้ง่ายขึ้นมากกว่า เพราะได้ปรับให้บริเวณสายหูฟังให้สั้นลงเล็กน้อยและมีแม่เหล็กสำหรับยึดสาย 2  ข้างให้อยู่กับที่ได้ ทำให้สายไม่แกว่งเกะกะ นอกจากนี้ก็ยังเพิ่มให้ก้าหูฟังมีการสั่นเวลามีสายโทรเข้าด้วยครับ

ค่าตัวของตัวนี้ก็เปิดมา 6,990 บาท เท่ากับตอนรุ่นแรกวางขายครับ และแน่นอน โซนี่กำลังลดราคารุ่นแรกอยู่ครับใครสนใจก็ไปส่องๆ ได้เลย

h.ear in 2 (IER-H500A)

ตัวนี้จะมีการปรับขั้วเล็กน้อย มีการแยกสาย Ground เพื่อลดสัญญาณรบกวน แล้วก็เพิ่มสีให้เพิ่มขึ้นจาก h.ear in ตัวแรก ที่เป็นรูปแบบการใช้งานผานสายแจ๊ค 3.5 มม. นั่นเอง ฟีเจอร์และการใช้งานต่างๆ เหมือนเดิมครับ

ราคาก็เปิดมาแทนที่ตัวเดิมที่ 2,990 บาท รุ่นก่อนสีเก่าก็ลดราคาอยู่เช่นกันครับ

 

WI-C400

นอกจากกบุ่ทตระกูล h.ear ผ่านไปก็มีอีกหนึ่งรุ่นที่เป็นหูฟัง In-ear Bluetooth มาพร้อมดีไซน์ที่ใช้การคล้องสายผ่านรูบนก้านหูฟังทำให้ปรับสายและจัดเก็บได้สะดวก พร้อมระบบสั่นเตือนเมื่อมีสายเรียกเข้า ตัวหูฟังตอบสนองความถี่ในช่วง 8 Hz – 22,000 Hz ใช้งานได้ต่อเนื่อง 20 ชั่วโมง สำหรับตัวนี้จะมาพร้อมราคาที่ยอมเยาให้จับต้องได้ง่ายขึ้นอยู่ที่ 2,190 บาท มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี ได้แก้ ดำ, ขาว, น้ำเงิน, แดง พร้อมวางจำหน่ายเดือนตุลาคมนี้เช่นกันครับ

 

Walkman

ในปีนี้โซนี่ก็ยังพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์วอล์คแมนออกมาเช่นเดียวกับทุกปี แต่จุดที่น่าสนใจของปีนี้คือทั้ง 2 รุ่นใหม่นี้สามารถใช้ต่อ USB DAC กับมือถือเพื่อใช้ตัววอลคแมนเป็นเครื่องเล่นเพลงแทนมอถอได้ด้วย หรอจะนำไปต่อกับคอมพิวเตอร์ PC ก็ได้เช่นกัน และตัวใหม่นี้มีให้เลือกใช้ทั้งแบบหรูหราน้องๆ Signature Series ก็คือ NW-ZX300 และรุ่นน้องไซส์เล็กจากตระกูล A คือ NW-A300 Series

 

NW-ZX300

ที่บอกไปว่าเป็นน้องๆ Signature Series ก็เพราะว่าการขึ้นรูปบอดี้ของ ZX300 ตัวนี้ทำมาจากอลูมิเนียมทั้งก้อน คล้ายกับการขึ้นรูปของ NW-WM1Z รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ บนแผงวงจรก็ใช้ของเกรดเดียวกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นตัวเก็บประจุ แอมป์ และแม้กระทั่งการบัดกรีก็เป็นกระบวนการที่ทำมาเหมือนกับรุ่น Signature ครับ เรียกได้ว่าเป็นการเอาตัวทอปมาลดขนาดให้พกพาง่ายขึ้น และจุดเด่นอีกอย่างก็คือการรองรับช่อง Balanced สำหรับขั้วแบบ 4.4 มม.เพื่อคุณภาพเสียงและไดนามิคที่ดีกว่า แบบ 3.5 มม.

สเปค

  • หน้าจอรับสัมผัส 3.1″ TFT ความละเอียด 800 x  480
  • ขนาด 57.7 x 120.4 x 14.9 มม., หนัก 157 กรัม
  • พอร์ทส่งออกเสียง สเตอริิโอ3.5 มม.  และช่อง Balanced 4.4 มม.
  • รองรับการเล่นไฟลเพลง DSD แบบ Native 11.2 MHz, PCM ความละเอียดสูงสุด 384 kHz, 32 bit
  • รองรับการเล่นไฟล์เพลง MQA
  • Bluetooth 4.2, รองรับ LDAC, aptX HD
  • ใช้แอมป์ S-Master HX, รองรับ DSEE HX
  • รองรับการเชื่อมต่อเป็น USB DAC จาก PC หรือมือถือ
  • หน่วยความจำ 64GB, เพิ่ม Micro SD Card ได้
  • ใช้งานฟังเพลง MP3 ได้ 30 ชั่วโมง, เพลงความละเอียดสูง 26 ชั่วโมง

รุ่นนี้จะมีสีเดียวคือบอดี้อลูมิเนียมสีเงิน ราคาจะอยู่ที่ 21,990 บาท เริ่มวางจำหน่ายช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ครับ

จากการที่มีสินค้าที่รองรับพอร์ท Balanced 4.4 มม. มากขึ้น ทำให้โซนี่ได้นำหูฟังรุ่นดังอย่าง MDR-1A มาปรับปรุงเป็นรุ่น MDR-1ABP ที่จะมาพร้อมสาย Balanced พร้อมเสียบเข้ากับ NW-ZX300 ได้เลย และหูฟัง Hybrid Driver อย่าง XBA-N3AP ก็กลายมาเป็น XBA-N3BP ที่มาพร้อมกับสาย Balanced เช่นกันครับ โซนี่แนะนำให้ใช้ 2 ตัวนี้กับการฟังเพลงผ่านช่อง Balanced ของ NW-ZX300 โดยหูฟังนั้นต้องซื้อแยกมีราคาดังนี้

  • MDR-1ABP ราคา 10,990 บาท
  • XBA-N3BP ราคา 14,990 บาท

ถ้าเกิดว่าอยากย้ายเข้าสู่รูปแบบการฟังผ่านสาย Balanced ก็ต้องลงทุนจัดเต็มกันหน่อยแหละเนอะ …

 

NW-A40 Series

NW-A46HN

เป็นการสานต่อ Walkman ซีรีส์ A เช่นเดียวกับทุกๆ ปี โดยในคราวนี้จะแบ่งออกเป็น 2 รุ่นนั่นก็คือ NW-A45 และ NW-A46HN โดยจะแตกต่างกันที่หน่วยความจำภายในและตัวหลังจะมาพร้อมหูฟัง in-ear ที่สามารถตัดเสียงรบกวนได้

สเปค

  • หน้าจอรับสัมผัส 3.1″ TFT ความละเอียด 800 x  480
  • ขนาดเครื่อง 55.9 x 97.5 x 10.9 มม., หนัก 98 กรัม
  • เล่นไฟล์ DSD ได้ แต่จะเป็นการแปลงเป็น PCM
  • รองรับการเล่นไฟล์เพลง MQA
  • Bluetooth 4.2, รองรับ LDAC
  • ใช้แอมป์ S-Master HX, รองรับ DSEE HX
  • รองรับการเชื่อมต่อเป็น USB DAC จาก PC หรือมือถือ
  • ใช้งานฟังเพลง MP3 ได้ 45 ชั่วโมง, เพลงความละเอียดสูงราว 30 ชั่วโมง
  • NW-A45 มีหน่วยความจำ 16GB เพิ่ม Micro SD Card ได้
  • NW-A46HN มีหน่วยความจำ 32GB เพิ่ม Micro SD Card ได้
  • สำหรับ NW-A46HN จะมาพร้อมหูฟังตัดเสียงรบกวน และรองรับโหมดการฟังเสียงรอบข้าง (Ambient Noise)

ทั้งคู่จะมาพร้อมสีสันโทนเดียวกับหูฟังตระกูล h.ear นั่นก็คือ 5 สีใหม่ ได้แก่ ดำเทา Grayish Black, แดง Twilight Red, เขียว Horizon Green, ฟ้า Moonlit Blue และสีทอง Pale Gold

  • NW-A45 ราคาอยู่ที่ 7,490 บาท
  • NW-A46HN ราคาอยู่ที่ 10,990 บาท

พร้อมวางขายในช่วงเดือนตุลาคมนี้ทั้งคู่ครับ

 

นอกจากกลุ่มหูฟังกับ Walkman แล้วก็จะมีกลุ่มลำโพงรุ่นใหม่อีกคือ

  • GTK-XB60 ลำโพงพร้อมแบตเฯ ในตัว ไซส์ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป สามารถพกพาไปตามปาร์ตี้ได้, วางขายในช่วงเดือนพฤศจิกายน ยังไม่ระบุราคาครับ
  • GTK-XB90 ลำโพงพร้อมแบตฯ ในตัว รุ่นใหญ่จัดเต็มของ Extra Bass เพราะมี subwoofer 2 ตัว และทวีตเตอร์ 3 ตัว, วางขายในช่วงเดือนพฤศจิกายน ยังไม่ระบุราคาครับ
  • MHC-V90DW เครื่องเสียงกำลังสูงที่ครบ จบสำหรับสายปาร์ตี้ เพราะมีทั้งลำโพงแบบแตร 10 ดอก มีไฟประกอบจังหวะเพลง, รองรับการ Cast ทั้งวิดีโอและเพลงไปเล่นบนตัวลำโพงได้

กับอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มก็คือเครื่องเสียงในรถยนต์ เพราะโซนี่ก็ได้นำ XAV-AX200 ที่ใช้งานระบบ Android Auto รองรับความบันเทิงทั้งแบบ Online และ Offline มีช่องใส่ DVD หรือจะเลือกเล่นเพลง Lossless ผ่าน USB ก็ได้  วิทยุ FM ก็มีตัวหน้าจอนั้นมีขนาด 6.4 นิ้ว ใช้นำทางหรือต่อกับกล้องรถยนต์ก็ได้ถึง 3 ตัว พร้อมฟีเจอร์ปรับแต่งเสียงต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ทุกความชอบของการฟังเพลงในรถยนต์