หลังจากใช้ชีวิตกับ Sony WI-1000XM2 มาได้สัปดาห์กว่าๆ หลังจาก Unbox กันไป ผมก็พยายามรวบรวมข้อสังเกตต่างๆ และการทดลองใช้งานในหลายลักษณะ แล้วตอนนี้ผมก็พร้อมที่จะรีวิวเจ้าหูฟังใหม่จากโซนี่ตัวนี้แล้วครับ น่าจะพอดีสำหรับใครพักผ่อนปีใหม่อยู่ก็มาอ่านกันได้เลย

สเปคของ WI-1000XM2

มาเริ่มด้วยสเปคของตัวหูฟังกันแบบกระชับเลยละกันครับ

  • เป็นระบบเสียงแบบ Hybrid Driver ประกอบด้วย Dynamic driver ขนาด 9 มม. และ Balance Armature 1 ตัว
  • สามารถต่อสาย 3.5 mm ได้ทั้งแบบไม่ใช้แบต (ไม่ใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ) และใช้แบต (NC, Ambient Sound, DSEE HX, Assistant)
  • ช่วงความถี่ตอบสนอง
    • Bluetooth, Sampling 44.1 kHz: 20 Hz – 20,000 Hz
    • Bluetooth (LDAC), Sampling 96 kHz: 20 Hz – 40,000 Hz
    • ผ่านสาย 3.5 mm: 3 Hz – 40,000 Hz
  • Bluetooth 5.0, รองรับ codec: SBC, AAC, LDAC ไม่รองรับ aptX
  • ใช้ชิปประมวลผลเสียง QN1, ประมวลผลเสียงแบบ 32bit
  • รองรับการอัพสเกลด้วยเทคโนโลยี DSEE HX
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสุด 10  ชั่วโมง เมื่อใช้งาน NC / 15  ชั่วโมง เมื่อปิด NC, ชาร์จผ่าน USB Type C
  • รองรับชาร์จไว ชาร์จเพียง 10  นาที ใช้งานได้ 80  นาที
  • มีสี ดำ และ เงิน

ถ้าใครจำสเปคของ WI-1000X รุ่นแรกได้ก็อาจจะเห็นว่ามันดูไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะนัก หลักๆ เหมือนแค่ปรับให้รับกับเทคโนโลยีใหม่ขึ้นอย่างการเชื่อมต่อที่กลายเป็น Bluetooth 5.0 และใช้พอร์ท USB Type C ถ้าตามตัวหนังสือก็ตามนั้นครับ แต่สำหรับ WI-1000XM2 มีจุดที่น่าให้ความสนใจนอกเหนือจากข้อมูลตัวเลขอยู่พอสมควรเลยครับ

ดีไซน์ที่ปรับปรุงใหม่

ความเห็นของผมหลังจากใช้ WI-1000XM2 มาได้สัปดาห์กว่าๆ ก็พบว่ามีทั้งจุดที่ชอบมากของดีไซน์ใหม่นี้ แต่ก็มีจุดสังเกตที่แอบขัดใจนิดๆ หน่อยๆ อยู่เหมือนกัน มาทยอยดูกันไปทีละเรื่องกันครับ

เริ่มกันที่ตัวก้าน หรือส่วนที่วางพาดบนคอกันครับ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดเลยสำหรับรุ่นนี้ เพราะมันแก้ปัญหาที่หลายคนเจอในรุ่นแรกไปหมดสิ้น ท้าวความเล็กน้อยสำหรับรุ่นแรก WI-1000X นั้นโซนี่ออกแบบมาเป็นแบบก้านแข็ง เป็นโลหะแล้วบุด้วยฟองน้ำ มุมนึงก็ดูแข็งแรงดี แต่ใช้มาสักพักกลับพบว่ามันขาดความสบายไปหน่อย เช่น เวลานอนใส่หูฟัง จะรำคาญความแข็งของมัน รวมถึงเคสของผมเอง พอใช้มาสักพักฟองน้ำมันเลยขาดออกมา กลายเป็นว่าทำให้รำคาญได้

พอมาเป็นก้านแบบใหม่ที่ทำมาจากซิลิโคน มันได้ความยืดหยุ่นที่ต้องการ และเผลอๆ อาจจะทนทานกว่าเก่าด้วย เพราะไม่มีฟองน้ำให้หลุดจนเปิดเห็นการเดินสายไฟข้างใน และข้อดีอีกประการที่ได้จากดีไซน์ก้านแบบนี้คือความกะทัดรัด อย่างที่ผมได้นำเสนอไปแล้วตอน Unbox ก็คือก้านมันยืดหยุ่นจนม้วนเก็บได้ และนั่นก็เลยทำให้โซนี่เปลี่ยนแพคเกจกล่องจากรุ่นเก่า เล็กลงกว่าครึ่ง ฮ่าๆ แถมเบาขึ้นด้วยครับ น้ำหนักหายไปจากรุ่นก่อนเกือบ 10 กรัมได้

ถัดมาคือสายของหูฟังที่เปลี่ยนจากแบบกลม มาเป็นแบบเส้นแบนเหมือนหูฟังตระกูล H.ear On ตัวแรกๆ (ผมไม่แน่ใจว่าตัวใหม่ยังแบนอยู่มั้ย) อาจจะเพราะลดการพันกันของสาย แต่เอาเข้าจริงๆ ผมว่ามันแปลกๆ เพราะหูฟังลักษณะ Neckband สายมันค่อนข้างสั้นอยู่แล้ว ไม่น่าจะพันกันง่ายๆ แล้วก็สภาพหูฟังที่ถ้าปล่อยปกติ จุกหูฟังมันจะหันเข้าหาตัวเรา เวลาใส่เลยต้องบิดหมุนมันนิดนึง ผมสังเกตว่าแรงบิดของสายแบนมันแอบเยอะกว่าแบบสายกลม ทำให้บางจังหวะที่ไปจับสาย อาจจะทำให้หูฟังที่ใส่อยู่เคลื่อนได้

แน่นอนว่าแค่จับๆ สาย ตัวหูฟังมันจะเคลื่อนง่ายทำให้สิ่งที่ต่อมีผมไม่ค่อยชอบก็คือตัวคอนโทรลบนสาย เวลาที่กดปุ่มคอนโทรลต่างๆ มันทำให้สายขยับได้ง่ายมากเลย ตรงนี้ผมนับเป็นข้อด้อยหนึ่งจุด อีกจุดที่อยากติหน่อย แต่อาจจะประกอบกับความไม่ชินของผมเองด้วยคือปุ่มที่ต้องจับๆ เรียนรู้หน่อยจนกว่าจะแม่น เพราะว่าปุ่ม เพิ่มเสียง-Play/pause-ลดเสียง ถูกวางอยู่ติดกัน จุดสังเกตคือปุ่มเพิ่มเสียงจะมีตุ่มนูนเล็กๆ และปุ่ม Play/pause จะมีส่วนนูนเป็นเส้นยาว และมีปุ่ม Custom วางแยกออกมา (ซ้ายในภาพ) ใช้สำหรับสลับโหมด NC/Ambient หรือว่าจะตั้งเป็น Google Assistant ก็ได้ครับ

ในส่วนของไมโครโฟนก็จะอยู่อีกด้านนึง อันนีเท่าที่ผมทดลองคุยโทรศัพท์มา ตำแหน่งถือว่าโอเคเลยครับ ไม่ต้องจับหรือขยับ แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ทดลองคุยโทรศัพท์แบบตอนอยู่ข้างถนนหรือที่เสียงดังนะครับ ไว้เดี๋ยวถ้าไปทดลองแล้วจะมาอัพเดตอีกทีหนึ่ง

ต่อจากสายก็มาที่ตัวหูฟังกันครับ ทรงของหูฟังจะดูอ้วนๆ ขึ้นหน่อย แอบรู้สึกว่าตัวเก่าสัดส่วนทรวดทรงลงตัวกว่า

เจ้าส่วนนูนๆ ที่เห็นสะท้อนเงาในภาพทางซ้าย เวลาใส่มันจะค่อนข้างพอดีกับใบหูเราเลยครับ เข้าใจว่าตั้งใจออกแบบมาให้ช่วยเรื่องความฟิตกับหู ส่วนท่อนำเสียงของหูฟัง จะเห็นว่ามีการเอียงอยู่ โซนี่อธิบายว่าเป็นการออกแบบให้สอดเข้ารูหูได้อย่างพอดีและทำให้อยู่ตัวดีกว่าเก่าครับ

ภาพประกอบจากทางโซนี่

แกะจุกหูฟังมาดูกันหน่อย พบว่าโซนี่เปลี่ยนจากฟิลเตอร์ฟองน้ำที่กันพวกขี้หูเข้าไปมาเป็นแบบตะแกรงแล้ว ทำให้เห็นของที่อยู่ข้างในด้วย ให้ผมเดา นั่นน่าจะเป็นตัวไดรเวอร์ Balance Armature ครับ (เทียบจากภาพของโซนี่ทางขวา) ใกล้ชิดหูแบบสุดๆ ส่วนตัวไดรเวอร์ Dynamic จะแอบอยู่ลึกกว่านั้นหน่อย แถวๆ ส่วนที่พื้นที่เยอะกว่านี้

 

พลิกหูฟังมาอีกด้านก็จะพบกับรูไมโครโฟนสำหรับ Noise Canceling ที่แต้มสีทองตัดกับสีดำ แรกๆ ผมว่าทรงหูฟังมันแปลกๆ แหละ แต่เห็นสีคู่นี้บ่อยๆ กลายเป็นชอบไปแล้ว ฮ่าๆ ที่ตัวหูฟังจะมีแม่เหล็กอยู่ด้วย ถ้าวางติดกันแบบในภาพ มันก็จะดูดติดกัน ป้องกันไม่ให้มันแกว่งไปมาระหว่างเราเดินได้ครับ (เท่าที่ผมสังเกต ทำแบบนี้กันหลายเจ้าอยู่)

ระบบ Noise Canceling หรือระบบตัดเสียงรบกวนใน WI-1000XM2 นั้นจะเป็นแบบ Dual Active Noise Canceling ครับ (โซนี่เรียกของตัวเองว่า Dual Noise Sensor Technology) โดยรับเสียงภายนอกผ่านไมค์ในภาพ (เรียกว่า Feed-forward) แล้วข้างในหูฟังจะมีไมค์อีกตัวนึง (เรียกว่า Feed-back) คอยฟังว่าหลังจากตัดเสียงรบกวนไปชั้นหนึ่งแล้วยังเหลือเสียงไหนที่ควรตัดทิ้งอีกบ้างแล้วเอาไปประมวลผลซ้ำอีกทีหนึ่ง ทำให้จัดการตัดเสียงได้ดีขึ้นกว่าเดิม ผมเข้าใจว่าหูฟังหลายๆ แบรนด์ที่ทำ Noise Canceling กันก็พยายามมาทำระบบนี้กันแล้ว

จบส่วนหูฟังเท่านี้ มาเก็บรายละเอียดตรงส่วนก้านที่เหลือกันครับ

ที่ก้านฝั่งซ้ายจะประกอบไปด้วยปุ่ม power (อยู่ด้านบนแถวๆ นิ้วชี้ของผม) แล้วก็มีรูสำหรับเสียบสายหูฟัง 3.5 mm ที่แถมมาในกล่อง แล้วก็ช่องชาร์จไฟที่เป็น USB Type C อันนี้แอบลองแล้ว ช่อง Type C อันนี้รับแค่ไฟไฟชาร์จอย่างเดียวเลยครับ ไม่รับเสียง ฮ่าๆ แอบหงุดหงิดเล็กน้อยที่จุกปิดช่อง USB Type C เป็นแบบเปิดแล้วง้าง ไม่ใช่แบบดึงออกมาแล้วหมุนได้เหมือนรุ่นเก่า

ข้อมูลจากคู่มือที่แถมมาในกล่องระบุว่าเสาอากาศก็จะอยู่ที่ก้านฝั่งซ้ายนี่แหละครับ แถวๆ บริเวณที่นิ้วโป้งผมบังอยู่

ส่วนก้านขวาจะมี NFC อยู่ มือถือใครมีก็แตะปุ๊บ Pair ปั๊บ สบายๆ เลยครับ (ขอบคุณโซนี่ที่ยังให้ความสำคัญกับ NFC ฮ่าๆ) ส่วนใครที่ไม่มี NFC ก็ให้กดปุ่ม power ค้างไว้ราว 7 วินาที หูฟังจะเปิดขึ้นมาแล้วต่อด้วยการเข้าโหมด paring หลังจากนั้นก็หาชื่อ WI-1000XM2 ในหน้าเชื่อมต่อ Bluetooth ได้เลย

ท้ายสุดในเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่อง คือโลโก้โซนี่ รุ่นเก่าจะเป็นร่องคล้ายการสลักลงไป แต่รุ่นนี้เป็นสีที่ทาเอาไว้ โดยเลือกใช้สีทองตัดกับดำ เรียกได้ว่าคุมธีมได้ครบถ้วนมาก จนผมสงสัยว่าทำไมไม่เรียกเลขรุ่นกระโดดเป็น WI-1000XM3 เหมือนที่ตัว Full size และ True Wireless ใช้กันไปเลย

ฟีเจอร์ต่างๆ ของ WI-1000XM2

หลายคนน่าจะทราบดีว่าหูฟังของโซนี่ในพักหลังๆ นี่ฟีเจอร์แน่นเอี้ยด สำหรับ WI-1000XM2 ก็ไม่ต่างกันครับ นอกจากการคอนโทรลจากปุ่มบนสายหูฟังแล้วก็ยังสามารถใช้แอป Headphone Connect (โหลดได้ทั้ง Android และ iOS) ของโซนี่ในการปรับแต่งๆ หลายๆ อย่างได้อีกไม่ว่าจะเป็น

  1. Adaptive Sound Control เป็นฟีเจอร์ที่จะใช้เซนเซอร์ในตัวมือถือเพื่อวิเคราะห์อิริยาบถของเราว่านั่งอยู่เฉยๆ (Staying) เดินอยู่ (Walking) วิ่งอยู่ (Running) หรือว่ากำลังอยู่บนยานพาหนะอย่างรถเมล์ รถไฟฟ้า (Transport) แล้วสามารถปรับการตัดเสียงรบกวนหรือการเปิดรับเสียงภายนอกได้ตาม profile ที่ตั้งไว้
  2. Ambient Sound Control สำหรับกรณีที่ไม่ได้เปิดใช้ Adaptive Sound Control ก็จะสามารถปรับการระดับการตัดเสียงรบกวนได้ตั้งแต่ตัดหมดเลย, เฉพาะเสียงลม หรือเปิดให้มีเสียงเข้าบ้างเป็นระดับๆ ไป หรือเน้นที่เสียงคนก็ได้
  3. Noise Canceling Optimizer ปรับการทำงานระบบ NC ตามสภาพความกดอากาศ เช่น เวลาอยู่บนเครื่องบินจะมีความกดอากาศต่ำกว่า (0.7 atm / ภาคพื้นดินคือ 1 atm) ทำให้ต้องปรับการตัดเสียงรบกวนให่เหมาะกับสมกับสภาพแวดล้อมนั้น อันนี้โซนี่นำเสนอมาตั้งแต่รุ่นแรก และรองรับกันเฉพาะแค่ตระกูล WI (in-ear) กับ WH (full size headphones) เท่านั้น (WH-1000XM2, WH-1000XM3)
  4. Equalizer
  5. Now Playing ควบคุมการเล่นเพลงของแอปต่างๆ ผ่านตรงนี้ได้ เช่น เปิด Spotify ก็จะปรากฏตรงนี้ หรือถ้าเป็นแอป Music ในเครื่องก็ได้เช่นกัน
  6. Sound Quality Mode เลือกการส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth ว่าจะส่งแบบเน้นคุณภาพเสียง (เครื่องที่รองรับ LDAC ก็จะใช้งาน LDAC) หรือจะส่งแบบเน้นการเชื่อมต่อที่เสเถียร (SBC codec)
  7. DSEE HX สำหรับเปิดเพื่ออัพสเกลไฟล์เพลง lossy ให้ใกล้เคียง lossless (มีผลเฉพาะไฟล์เพลงที่ Sampling Rate ต่ำกว่า 48 kHz)
  8. Custom function of [C] button ปรับโหมดของปุ่มให้เป็น NC/Ambient หรือ Google Assistant, Amazon Alexa
  9. Automatic Power Off ปิดเครื่องเองถ้า Bluetooth ไม่ได้ต่ออยู่ตามกำหนดเวลา (5 นาที / 30 นาที / 1 ชั่วโมง / 3 ชั่วโมง / ไม่ปิด)

ผมสังเกตว่ามีบางฟีเจอร์ที่รุ่นเก่ามีแต่รุ่นนี้หายไปอย่างพวก

  • Sound Position Control ที่เอาไว้จำลองทิศทางของเสียง
  • Surround (VPT) จำลองเสียงในสภาพแวดล้อมต่างๆ
  • Standby with power saving หยุด NC/Ambient ชั่วคราวเมื่อไม่ได้เล่นเพลงอยู่ อันนี้อยากได้มาก เพราะช่วยประหยัดแบตดี

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมาตามอัพเดตทีหลังหรือเปล่า อยากให้อัพเดตมานะโซนี่ บอกไว้เผื่อมีคนผ่านมาอ่าน 😉

Noise Canceling ปรับปรุงใหม่และคุณภาพของเสียง

มาถึงจุดที่ผู้อ่านน่าจะรอคอยมากที่สุด ผมรู้ดี เพราะเวลาผมตามอ่านรีวิวหูฟังผมก็ชอบพุ่งมาที่เรื่องของเสียงก่อนเลย แต่อ่านเสร็จแล้วอย่าลืมกลับไปอ่านข้างบนประกอบด้วยนะครับ ฮ่าๆ

แม้ว่าโดยสเปคแล้วจะเหมือนว่า WI-1000XM2 นั้นแทบไม่ต่างอะไรกับ WI-1000X รุ่นแรกเลย แต่สิ่งแรกที่เป็น First Impression สุดๆ ก็คือระบบ Noise Canceling นี่แหละครับ คือเงียบกว่ารุ่นเก่าแบบใครๆ ก็สังเกตได้ ผมทดสอบกับคนรอบตัวโดยการให้ใส่หูฟังข้างนึงเป็น WI-1000XM2 แล้วอีกข้างเป็น WI-1000X ทั้งคู่เปิด Noise Canceling ไว้ พบว่าทุกคนบอกตรงกันว่ามันต่างกัน สำหรับผมเองถ้าให้พูดให้เห็นภาพก็คือ รู้สึกเหมือนว่าฝัง WI-1000X ตัวเก่านั้นเหมือนไม่ได้เปิด Noise Canceling อยู่เลยยังงั้น ความกริบมันต่างกันมาก ก็สมคำร่ำลือจริงๆ สำหรับชิป Noise Canceling QN1 ที่โซนี่เคยใช้กับตัว WH-1000XM3 ย้ายมาหูรุ่นเล็กก็ยังทำงานได้ดี

ภาพประกอบจากเว็บโซนี่

จากการที่ไปทดลองเดินหลายๆ ที่มาก็พบว่า Noise Canceling ทำงานได้ดีขึ้นมากจริงๆ ลักษณะการตัดเสียงคือจะเอาย่านต่ำที่ตรงกับพวกเสียงเครื่องยนต์ออก เหลือแค่โทนเสียงย่านสูง เสียงรถบรรทุกวิ่งผ่านหรือ รถวิ่งกันเยอะๆ จะได้ยินเหมือนคล้ายๆ เวลาฉีดน้ำจากท่อ (ฟู่ๆ อะไรทำนองนั้น) ถ้าเปิดเพลงไปด้วยนี่คือยิ่งไม่ได้ยิน จะมีก็พวกมอเตอร์ไซค์เสียงแว้นๆ แทงเข้ามาครับ

มีจังหวะหนึ่งที่ผมเจอหวูดรถไฟ เสียงแหลมของหวูดนี่ยังเข้าหูชัดอยู่ แต่เสียงสั่นๆ ย่านทุ้มๆ หายหมดเกลี้ยงจนตอนแรกผมตกใจด้วยซ้ำว่านี่มันเสียงอะไร ก่อนจะหันไปเห็นรถไฟ (เดินอยู่ตรงรถไฟฟ้าใกล้ๆ ทางรถไฟ)

มาที่เรื่องของเสียงเพลงกันบ้าง จากเดิมที่โซนี่จะโฆษณาด้วยแบรนดิ้ง S-Master HX ที่เป็นวงจรแอมป์ที่พัฒนาเองมาค่อนข้างบ่อย แต่ผมสังเกตว่าโซนี่เลิกใช้คำโฆษณานี้ไปตั้งแต่ WH-1000XM3 และเปลี่ยนมาใช้วงจรที่เรียกว่า QN1 ที่ทำงานทั้งส่วนของ Noise Canceling และประมวลผลเสียงระบบ 32 bit พร้อมแอมป์ จึงเข้าใจว่าโซนี่จะแทน S-Master HX ด้วยวงจรใหม่นี่แล้วนั่นเอง และสิ่งที่ตามมาก็คือความเปลี่ยนแปลงของลักษณะเสียงเพลงที่ได้ด้วย เนื่องจากผมไม่รู้สเปคเชิงลึกของไดรเวอร์ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปยังไง (เชื่อว่าไม่น่ามีใครรู้นอกจากโซนี่เอง) เลยขอตีความไปโดยรวมว่าเสียงที่เปลี่ยนไปนั้นเกิดจากตัวชิป QN1 เป็นหลักครับ

  • เสียงย่านต่ำหรือเบส เบสอยู่ในเกณฑ์ที่กำลังดี สำหรับผมมองว่ามันพอดีๆ ไม่ล้น แต่มีคนรู้จักที่ฟัง WF-1000XM3 อยู่บอกว่าเบสน้อยไปนิดนึง อาจจะขึ้นกับความชอบส่วนบุคคลครับ แต่ภาพรวมที่ผมสังเกตได้คือเบสนั้นชัด ฟังง่าย ไม่กวนย่านอื่นเท่าไร กระชับ ไม่บวม และถ้าเทียบกับ WI-1000X เองก็รู้สึกว่าเบสล้นน้อยลง และคมขึ้น
  • เสียงย่านกลางและร้อง ตำแหน่งของเสียงร้องจะไม่ได้อยู่หน้าหรือถอยหลัง แต่จะรู้สึกเหมือนอยู่ตามหูหรือในหัวเราครับ เสียงร้องแยกออกมาได้เด่นชัด เหมือน Noise ของเสียงร้องลดลงจากรุ่นก่อน เสียงหายใจก็ฟังได้ชัดเจน ให้ความรู้สึกแยกจากเครื่องดนตรีได้ดี
  • เสียงย่านความถี่สูง เป็นโทนแหลมที่ฟังง่าย แบบเสียงสไตล์เคาะ Triangle จะใสมาก หรือเสียงเครื่องสายก็จะมีตำแหน่งที่ลอยๆ ขึ้นมาหน่อย ส่วนเสียงเครื่องเป่าตำแหน่งหลบไปทางข้างหลังนิดหน่อย แต่ยังได้ยินชัดครับ รวมๆ คือไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่สดใส ฟังสบาย เก็บครบครับ
  • เวทีเสียง อันนี้เป็นอีกจุดเด่นที่สมัย WI-1000X ทำไว้ได้ดีมากในฐานะหูฟัง In-ear ที่มีเวทีเสียงกว้าง พออัพเกรดมาแล้วก็ยังขยายเวทีได้อีกหน่อยด้วยครับ ทำให้ผลที่ได้ตามมาคือเครื่องดนตรีมีตำแหน่งที่แยกห่างจากกันชัดขึ้น ฟังแล้วสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งได้ง่ายขึ้น เสียงร้องจะยังอยู่ตรงกลาง แต่ชิ้นดนตรีต่างๆ จะกระจายตัวออกไป บวกกับเสียงร้องที่เวลามีการร้องประสาน จะแยกเสียงนักร้องได้ดีขึ้นหน่อยด้วย รายละเอียดยิบย่อย เล็กๆ น้อยๆ ที่ประกอบตามในเพลงก็โดดเด่นขึ้นมาด้วย คือคิดว่ารุ่นเก่าดีแล้ว มาฟังรุ่นอัพเกรดพบว่ามันต่างกันพอตัวเลยครับ

โดยรวมแล้วสำหรับคนที่อัพเกรดจากรุ่นเก่ามา ผมสรุปให้ว่าประทับใจครับ แต่ก็แนะนำให้หาลองฟังกันก่อนดีกว่า เพื่อที่จะได้เจอของที่ถูกหู ถูกใจตัวเองที่สุด

ปัญหาที่พบระหว่างใช้งาน

  • เดิมผมใช้ WI-1000X พร้อมกับจุกแบบโฟมแล้วเข้าหูดีมาก แต่พอสลับมาเป็น WI-1000XM2 แล้วใช้จุกแบบโฟมกลับพบว่ามันไม่ค่อยอยู่หูเท่าไร อันนี้ไม่เชิงเป็นปัญหาครับ แค่สังเกตว่าลักษณะท่อนำเสียงมันเปลี่ยนไป ผู้ใช้ต้องลองก่อนว่าจุกไหนที่เข้ากับเราได้มากสุด ตอนนี้เลยแบบซิลิโคนเป็นหลัก แล้วสลับเป็นโฟมบ้าง เพราะบางทีก็ใส่เข้า งงๆ หูตัวเองเหมือนกัน
  • ยังคงไม่ค่อยชอบตำแหน่งปุ่มคอนโทรลเท่าไร จับกดเปลี่ยนเพลงแล้วหูฟังเขยื้อนบ่อย
  • แบตเตอรี่อาจจะได้ไม่ถึงที่โฆษณา สังเกตว่า NC ที่ประสิทธิภาพดีขึ้น กินแบตมากขึ้นด้วย ผมต่อ Bluetooth ต่อเนื่องทั้งวัน แต่ไม่ได้ฟังเพลงตลอดเวลา พบว่าใช้งานได้ราวๆ 11 ชั่วโมง เลยสงสัยว่าถ้าเปิดเพลงต่อเนื่องจริงๆ อาจจะได้ไม่ถึง 10 ชั่วโมงดีตามที่โฆษณาไว้ก็เป็นได้ครับ (ข้อสังเกต: ผมฟังผ่าน LDAC ตลอด, เพลงส่วนใหญ่เป็น Hi-Res อาจจะกินแบตเยอะกว่าปกติ?)
  • แม่เหล็กที่ตัวหูฟัง ไม่ได้เป็นปัญหา แค่แอบรู้สึกว่าตลก ลองดูภาพประกอบครับมันเกาะกันไม่สวยแค่นั้นแหละครับฮ่าๆ
  • ก้านวางพาดแบบซ่อนในคอปกเสื้อเชิ้ต/โปโลได้แล้ว สบายกว่าก้านแข็งรุ่นก่อน แต่สายยั้งรั้งคอปกอยู่หน่อย พอใช้ได้ แต่ก็เป็นจุดน่าสังเกตโดยเฉพาะถ้าใครใส่เชิ้ตบ่อยๆ

จุดเด่นที่ชอบ

  • Noise Canceling ยังขึ้นหิ้ง รักมาก ผมกล้าท้าว่าเป็นหูฟัง In-ear ที่ทำ Noise Canceling ได้ดีสุดในตลาด (ส่วนโซนี่เคลมไว้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่ม Wireless neckband)
  • คุณภาพของเสียงยังพัฒนาขึ้นได้อีก ถือว่าหายไป 2 ปีแล้วกลับมาแบบไม่ผิดหวัง เหมือนว่ารุ่นนี้กลายเป็น In-ear ที่ทอปที่สุดของโซนี่ในตลาดลูกค้าทั่วไปแล้ว (ไม่นับพวก In Ear Monitor, Signature)
  • Bluetooth 5.0 แล้ว เหมือนจะเสถียรขึ้นพอสมควร แต่ก็ยังเจอจังหวะกระตุกบ้างเช่นตอนเดินเข้าบ้านแล้วมือถือพยายามต่อ WiFi
  • ช่องชาร์จเป็น USB Type C สักที ชาร์จไฟไวขึ้นแถมเอามือถือมาชาร์จหูฟังก็ได้ ต่อจากนี้ผมพกสาย Type C อย่างเดียวก็รอดแล้ว ไม่ต้องพก Micro USB อีกต่อไป
  • ช่องเสียบสาย 3.5 mm ยังอยู่ให้เราเลือกใช้ และใช้ง่ายกว่าเดิม ชาร์จไฟไปใช้ไปก็ได้ ผิดกับรุ่นเก่าที่ต้องเสียบฝั่งหูฟังด้วย Micro USB
  • น้ำหนักเบาสบาย ห้อยได้ทั้งวัน และน่าจะป้องกันเหงื่อดีกว่าเก่า เพราะนี่เป็นซิลิโคนทั้งก้าน ขี้เกลือไม่น่าติดเท่าไรด้วย
  • กล่อง หรือจะเรียกว่าเคสก็คงไม่ผิด ที่แถมมาด้วย ชอบมากเพราะขนาดกำลังดี ดูแข็งแรงพอประมาณ ยัดใส่กระเป๋าไม่กลัว ของเก่าเป็นทรงซองๆ ใส่กระเป็นแล้วกลัวของไปทับหักมาก (แต่ก็รอด) ใครอยากดูภาพขออนุญาตให้ย้อนไปดูตอน Unbox ฮา

สำหรับผมแล้ว Sony WI-1000XM2 จัดว่าเป็นหนึ่งตัวเลือกหูฟังแบบ Wireless neckband ที่น่าสนใจมากๆ และช่วงต้นปีหน้าน่าจะมีสื่อหลายสำนักหยิบมาพูดถึงกันหลังจากวางขายทั่วโลก สำหรับใครที่ไม่อยากพกหูฟัง Full size และยังไม่พร้อมจะกระโดดไปหูฟัง True Wireless (เช่นผม) แนะนำว่าให้มองดู WI-1000XM2 เป็นตัวเลือกครับ เพราะนอกจากจุดเด่นอย่าง Noise Canceling ที่เรียกว่าขั้นเทพแล้ว เสียงของหูฟังยังทำออกมาได้ดีอีกด้วย

ค่าตัวของ Sony WI-1000XM2 นั้นอยู๋ที่ 10,990 บาทครับ เปิดตัวมาถูกกว่ารุ่นแรกพันนึง อาจจะเพราะเรื่องค่าเงินบาที่แข็งค่าขึ้นมาล่ะมั้ง ใครที่สนใจลองหาตามร้านหูฟังลองฟังได้ครับ หรือตามช็อปโซนี่เองก็น่าจะเริ่มมีของเข้าบ้างแล้ว ไปฟังทดสอบกันก่อนตัดสินใจได้ครับ ส่วนใครมีข้อสงสัยอะไร หรืออยากให้ทดสอบเพิ่มในเรื่องไหน ลองคอมเมนท์ทิ้งกันไว้ได้เลยนะครับ