สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน เจอกันอีกแล้วครับ คราวนี้ผมมีโอกาสได้ลองเล่นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Sony ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนที่แล้ว มันคือ “Xperia M5 Dual” นั่นเองครับ สำหรับ Xperia M5 Dual นั้นจัดเป็นมือถือประเภท Super mid-range คือตลาดกลางค่อนไปทางรุ่นท็อป โดยจุดเด่นของมือถือรุ่นนี้คือ สเปกหลายๆอย่างที่ใกล้เคียงกับมือถือเรือธง และกล้องที่มีระบบโฟกัสไวมากเพียง 0.25 วินาที โดย Sony ประเทศไทยเปิดราคาที่ 14,990 บาท น่าสนใจแล้วล่ะสิ มาดูรายละเอียดกันครับ
Sony Xperia M5 นั้นมีสองรุ่นคือ รุ่นซิมเดียวที่ชื่อว่า M5 เฉยๆ และ รุ่นสองซิมที่ชื่อว่า M5 Dual ซึ่งเป็นเครื่องที่ทางเว็บ Droidsans ได้มารีวิวในครั้งนี้ แต่ขอแจ้งไว้ก่อนว่า เครื่องที่จะจำหนายไทยจะเป็นรุ่นซิมเดียว หรือ Single SIM นะครับ โดยสำหรับความแตกต่างของ M5 และ M5 Dual ก็เป็นแค่เรื่องของการรองรับซิมเท่านั้น สเปกอย่างอื่นเหมือนกันหมดทุกอย่างเลยครับ ว่าแล้วก็มาดูสเปกกันเลยดีกว่า
สเปกของ Sony Xperia M5 Dual
ชื่อและรหัสเครื่อง : Sony Xperia M5 Dual (E5663)
สัดส่วน: 145 x 72 x 7.6 มิลลิเมตร
น้ำหนัก: 142.6 กรัม (รวมแบตเตอรี่)
หน้าจอ: IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด Full-HD 1080p พร้อม Mobile BRAVIA® Engine 2
เครือข่ายที่รองรับ:
4G FDD LTE : 2100/1800 (รองรับทุกเครือข่ายในประเทศไทย)
3G : HSPA 850/900/1900/2100 (รองรับทุกเครือข่ายในประเทศไทย)
2G : GSM 850/900/1800/1900
SIM : 2 SIM แบบ Nano-SIM (รุ่นของไทยเป็น 1 SIM)
CPU : MediaTek Helio X10 (MT6795) Octa-core 2GHz
GPU : IMG Rogue G6200
RAM : 3 GB
หน่วยความจำภายใน : 16 GB (เพิ่ม microSD card ได้สูงสุด 200GB)
กล้องหน้า : 13 ล้านพิกเซล Exmor RS พร้อมโฟกัสอัตโนมัติ
กล้องหลัง : 21.5 ล้านพิกเซล Exmor RS พร้อมโฟกัสอัตโนมัติแบบไฮบริด F2.2 และ LED flash
แบตเตอรี่ : 2,600 mAh (ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้)
OS : Android 5.0 Lollipop พร้อม Xperia Home
NFC : มี
OTG : มี
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น: IP65/68
การเชื่อมต่ออื่นๆ:
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, dual-band, Wi-Fi Direct, DLNA, hotspot
Bluetooth v4.1, A2DP, LE, apt-X
GPS/A-GPS/Glonass
USB 2.0
หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
เซ็นเซอร์:
เซ็นเซอร์หมุนภาพอัตโนมัติ (Accelerometer)
เซ็นเซอร์เปิดปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนา (Proximity sensor)
เซ็นเซอร์ปรับความสว่างหน้าจอ (Light sensor)
เซ็นเซอร์แม่เหล็ก (Magnetic Field sensor)
เข็มทิศระบบดิจิตอล (Compass)
ลัดเลาะรอบเครื่อง
Sony Xperia M5 ยังคงงานออกแบบในสไตล์ Omnibalance ที่เป็นเครื่องหมายการค้าของ Sony เหมือนเดิม ซึ่งก็ใช้งานออกแบบแบบนี้มาแล้วรุ่นต่อรุ่น สำหรับตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นกระจกประกบตัวเครื่องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กรอบเป็นพลาสติกชุบโครเมียมสูงจากแผ่นกระจกเล็กน้อยเพื่อป้องกันหน้าจอเวลาทำมือถือหล่น
ส่วนมุมของโทรศัพท์ทั้ง 4 ด้านทำมาจากสแตนเลสเพื่อป้องกันการกระแทกจากการตกเช่นกัน
ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบด้วยพอร์ต USB อยู่ตรงกลางและลำโพงอยู่ทางด้านซ้าย
ด้านบนของตัวเครื่องจะมีรูเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ไมค์ตัวที่สองสำหรับตัดเสียง
ด้านขวาของตัวเครื่องจะมีปุ่ม Power อยู่บนสุดเป็นสีเงินแตกต่างจากสีของตัวเครื่องชัดเจน ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับเสียง และด้านล่างสุดเป็นปุ่ม shutter สำหรับถ่ายรูป
ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีช่องสำหรับใส่ SIM และ microSD card อยู่โดยต้องแกะฝาเปิดออกมาก่อน ซึ่งฝานี้ต้องปิดให้ดีเพราะจะเป็นตัวช่วยในเรื่องการกันน้ำด้วยครับ
พอแกะฝาปิดออกมาก็จะสามารถแงะเอาถาด SIM และถาด microSD ออกมาได้ ขอย้ำอีกครั้งว่าเครื่องรีวิวเป็นรุ่น 2 ซิมแต่ “เครื่องขายจริงจะมีซิมเดียวนะครับ”
มาดูด้านหน้าของตัวเครื่องกันบ้าง ส่วนบนที่เห็นเป็นวงกลมใหญ่ๆนั่นคือ “กล้องหน้า” ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล selfie จัดเต็ม ส่วนร่องด้านบนที่ติดกับขอบจะเป็นลำโพงสำหรับสนทนา นอกจากนั้นยังมีเซ็นเซอร์ต่างๆซ่อนเอาไว้อีกมากมาย เช่น เซ็นเซอร์วัดแสง และ Proximity เป็นต้น
ส่วนล่างของหน้าจอจะเป็นแถบดำๆไม่มีปุ่มอะไร และร่องที่สมมาตรกับส่วนบน ซึ่งร่องตรงนี้จะเป็นไมค์สำหรับสนทนานั่นเอง
ได้เวลาพลิกมาด้านหลังก็จะเห็น “สีทองอร่าม” ไปทั่วทั้งแผ่น..หลังของ Xperia M5 ซึ่งสีทองแบบนี้ใครเห็นก็สะดุด แต่ส่วนจะได้คำวิจารณ์ยังไงก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน สำหรับผมคิดว่ามันสวยโอเคดี
ซูมเข้ามาด้านบนสักนิดจะเห็นกล้องหลังอยู่มุมบนซ้ายและถัดไปเป็นไฟแฟลช
ส่วนด้านล่างนั้นจะมีโลโก้ Xperia แสดงความขลังของรุ่นนี้อยู่
เปิดเครื่องกันเถอะ…
สำหรับ Sony Xperia M5 นั้นมาพร้อมกับ Android 5.0 Lollipop โดยมี Xperia Home ครอบทับอยู่อีกที เปิดมาหน้าจอ lockscreen แบบนี้ นาฬิกาที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ ของ Xperia Home เค้าล่ะ
พอปลดล็อคได้นี่ก็คือหน้า Homescreen ของ Xperia Home ซึ่งเป็น Android Custom UI ที่หลายคนยอมรับว่าทำออกมาได้ดี ไม่เยอะ ไม่น้อยเกินไป ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ใกล้เคียงกับ stock android แต่มีหน้าตาที่สวยงามมากกว่า
สามารถเลือกเพิ่มลบ Widget หรือ App ต่างๆได้เองเหมือน Launcher ของ Android ทั่วไป นอกจากนั้นยังมีระบบ Theme เข้ามาช่วยเสริมการปรับแต่งหน้าตาของ Xperia Home ได้เองด้วย
มาในส่วนของกล้องก็โหมดต่างๆให้เล่นกันอย่างจุใจ ตรงนี้ผมขอไปลงรายละเอียดในรีวิวอีกทีนะครับ
ตัวอย่างภาพถ่าย
ผมลองถ่ายภาพด้วยกล้องหลังของ Xperia M5 ทั้งกลางวันและกลางคืน เบื้องต้นขอเลือกภาพมาให้ดูเท่านี้ก่อน เดี๋ยวจะเอาอัลบั้มเต็มมาลงอีกทีในรีวิวฉบับเต็มนะครับ
กลางวัน
กลางคืน
กล้องหน้า
อัลบั้มเต็ม
ประสิทธิภาพและแบตเตอรี่
ผมได้ลองทดสอบ benchmark ของ Xperia M5 ด้วย Antutu Benchmark เบื้องต้นได้คะแนนออกมาในระดับมือถือตลาดกลางทั่วไป จากการใช้งานพบว่า มีความลื่นไหลดีมาก ไม่พบอาการสะดุดใดๆ ระหว่างใช้ เข้าใจว่า Sony น่าจะมีการปรับจูนซอฟต์แวร์มาดีพอสมควร
ในส่วนของแบตเตอรี่ขนาด 2600 mAh ที่ให้มานั้นยังไม่สามารถใช้งานได้ครบวันสักเท่าไหร่ จากกราฟที่จับภาพมาให้ดู ผมไม่ได้ใช้งานเครื่องหนักมาก เป็นการใช้งานทั่วไป เล่นอินเตอร์เน็ตและ social network เป็นหลัก แบตเตอรี่ก็ดูน่าจะหมดก่อนที่ผมจะถึงบ้านไปชาร์จมันได้ แต่ตอนรีวิวคงต้องรอดูอีกทีว่าแบตเตอรี่จะมีการปรับตัวดีขึ้นหรือเหล่า และ STAMINA mode จะเข้ามาช่วยอะไรได้บ้างสำหรับการจัดการพลังงาน
ข้อสังเกตเบื้องต้นจากการใช้งาน
ผมได้ลองใช้งาน Xperia M5 มาประมาณ 2 วันและนี่คือข้อสังเกตที่อยากจะบอกคนที่กำลังสนใจมือถือรุ่นนี้อยู่
Xperia Home ทำออกมาได้ดี การใช้งานลื่นไหลดีมาก ฟีเจอร์ที่ให้มาก็มีประโยชน์
RAM 3GB ถือว่าเหลือเฟือสำหรับการใช้งานทั่วไป
งานออกแบบตัวเครื่องดูสวย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้วัสดุพรีเมียม แต่มันก็ดูพรีเมียม
กล้องโฟกัสไวจริง สมราคาคุย แต่…
การบันทึกภาพถ่ายทำได้ช้ามาก ต้องรอให้บันทึกเสร็จถึงจะลั่นชัตเตอร์ต่อได้
เวลากดถ่ายเครื่องจะทำการ refocus ทุกครั้ง ทำให้ยิ่งช้าไปอีก
ลำโพงเสียงไม่ดังเท่าไหร่
ตัวเครื่องร้อนนิดๆ ตอนใช้เล่นอินเตอร์เน็ตไปสักพัก
แบตเตอรี่ไม่อึดอย่างที่คิด ใช้งานได้ไม่พ้นวัน แต่ยังไม่ได้ลอง STAMINA mode
Sony Xperia M5 วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สีคือ สีขาว, สีดำ และสีทอง ในราคา 14,990 บาท สำหรับคนที่สนใจงาน TME วันที่ 1-4 ตุลาคมนี้คงมีรุ่นนี้วางจำหน่ายด้วย หรือถ้าไม่อยากไปงานก็สั่งซื้อทาง Sony Store Online ก็ได้เช่นเดียว วันนี้ผมขอลาไปก่อนสวัสดีครับ
จัดว่างามนะ สเปค แต่ราคานี้ ขอหน้าจอ 5.5" ขอมากไปไหม ฮ่าๆ
เลือกไม่ถูก m5 กับ z3c ดีด้อยคนละอย่าง T T รอดูโปรในงานอีกทีละกัน
555+ เหมือนผมเลย แต่นี้รอๆๆ M5 นี้แร่ะโทรศัพท์เสียจะ 2 เดือนแร่ะ แต่พอ 5x เปิดมา
ราคา Sony M5 กับ Nexus 5x ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ไม่รู้ว่า LG ไทยจะเอาเข้ามาขายตอนไหนถ้านานเกินเดือนคง M5 -*-
จากข้อ 4. แต่.. หมายความว่าอย่างไรครับ
กล้องช้าเท่า C5 Ultra มั๊ยครับ จะได้ไม่เอา
ข้อ 4 ต่อด้วยข้อ 5 ครับ มีปัญหาที่การบันทึกภาพทำได้ช้า เลยไม่สามารถกดถ่ายรัวๆ ได้แม้จะโฟกัสเร็วก็ตาม
สีทองA สวยดีแหะราคาชนNexus 5X
ในส่วนต้องรอให้บันทึกเสร็จนี่
เวลาถ่ายรูปหมู่ที่ต้องใช้เวลาในการถ่ายน้อย คงหวังพึ่งAutoไม่ได้(รอชมรีวิวอีกที)
ขอบคุณสำหรับพรีวิวครับ
HR-Vin
ฝาปิดช่องใส่ sim แนวดีอะ
เสียดายถ้าราคาไม่ถึงหมื่นอาจจะพอเขี่ยมไปซื้อ 555
อยากลองเป็นสาวกบ้างจัง ><
เห็นว่ากล้องหน้าโฟกัสไม่ดี จริงไหมครับ เพิ่งเห็นว่ามีปัญหากล้องหน้าเวลาโฟกัสมีเสียงดังแกร๊กๆด้วย จริงไหมครับ
ไม่พบปัญหาอะไรนะครับ
กำลังตัดสินใจซื้อ M5 ถ้าเทียบกับเจ้า Z3+ กล้องตัวไหนดีกว่ากันครับ
ถามครับ
ถ้าผมใส่ sim my ทั้ง 2ช่องเลย
มันจะสามารถรับสายได้ทั้ง 2 sim เลยหรือไม่ครับ
ประเด็นคือกลัวใส่ไปแล้วมองเห็นแต่ sim เดียวอ่ะครับ
รบกวนทดสอบให้หน่อยได้ไม๊ครับ
รุ่นที่ขายในไทยจะเป็นรุ่นซิมเดียวครับ
M5 Dual เป็นระบบ dual-standby ดังนั้นรับสายได้ทั้ง 2 sim แต่รับได้ทีละสายครับ ตัวระบบรองรับ 850 อยู่แล้ว ไม่น่ามีปัญหากับ my นะ พอดีผมไม่มี sim ของ my ให้ลองซะด้วย
ปล. อย่างไรก็ตามเครื่องไทยเป็น sim เดียวครับ แต่ถ้าจะหาเครื่องหิ้ว 2 sim มาเล่นก็ตามที่บอกเลย
ปกติมือถือ 2 ซิม จะstanby 3G/4G ทั้ง 2 ซิมไม่ได้ครับ
ถ้ามีซิมนึง stanby 3G/4G อยู่ อีกซิมจะโดนบังคับให้เป็น 2G ตัวนี้ผมว่าน่าจะเหมือนเดิม
ใช่ครับ ในส่วนของ 3G ก็จะเป็นตามนี้เลย
ไม่ค่อยได้ต่อ 3g อยู่แล้วอ่ะครับ
จะเน้นโทรเข้าออกมากกว่า ไม่อยากพก 2 เครื่อง
ถ้าเราไปหิ้วเครื่องนอกมาใช้ก็ได้ใช่ไม๊ครับ
กะจะสอยZ3(ราคาน่าจะลงมาพอสมควร) เจอตัวนี้ลังเลเรย..ครับ
ผมก็ปวดหัวอยู่ฮ่าๆๆๆๆ Z3+ กับ M5 เอาไรดีอะ
เป็นผมจะเลือกรุ่นใหม่ไว้ก่อนครับ
ผมขออนุญาตเสริม หลักการทำงานของ stamina mode นะครับ (ก็ไม่หลักเท่าไหร่นะ 555)
ซึ่ง ไม่ได้เขียนจาก M5 เพราะไม่มีใช้
แต่เขียนจากที่เคยใช้ Acro S และใช้ ZR อยู่
หลักการมันคือ
หลักที่ 1
– ตัดการเชื่อมต่อ internet (ทั้งไวไฟ และดาต้า) เมื่อเราปิดหน้าจอไปนานๆ
– เครื่องจะเชื่อมต่อเองเป็นพักๆ เพื่อ sync ข้อมูลต่างๆ
— ตรงนี้ ถ้าใครมี facebook, line หรืออะไรก็ตามที่เป็นการใช้อินเตอร์เน็ตเช็คข้อมูลตอนปิดหน้าจอ มันจะทำให้การแจ้งเตือนไม่ Real time นะครับ มันจะแจ้งต่อเมื่อ เครื่องเราเช็คให้
— แต่ก็มีฟังค์ชั่นยกเว้นบางแอพ และการเปิด/ปิดการsync เมื่อเครื่องอนุญาตเท่านั้น (ซึ่งผมไม่เคยลองนะ)
– การต่ออินเตอร์เน็ต เครื่องจะอิงตาม wifi location ประมาณว่า ถ้าเปิดไวไฟไว้ แล้วเข้าไปที่ที่เราเคยต่อไวไฟไว้ มันจะแอบต่ออินเตอร์เน็ตเลย เพื่อsync ข้อมูล (ซึ่ง บางทีก็ไม่ต่อให้นะ เอาแน่เอานอนไม่ได้ 555)
หลักที่ 2
– เครื่องจะมีการตรวจว่า แอพไหนกินแบตเตอรี่ในขณะที่เราไม่ได้ใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น แอพเล่นเพลง ถ้าเราเปิดฟังเพลงซัก 2ชม. เครื่องจะบันทึกและบอกเราว่า แอพนั้นไม่ยอมให้เครื่อง standby นะ จะมีให้เลือกลบ หรือปล่อยมันไป
เอาเป็นว่า stamina mode คือประหยัดเมื่อไม่ได้ใช้งาน หรือการ standby นั่นแหละ
สรุปว่ามันไม่ได้ช่วยให้อึดขึ้น ถ้าเปิดใช้งานยาวๆ แต่ช่วยในกรณีที่เปิด standby ไว้
และ sony จะมีเรื่องประหลาดเกี่ยวกับแบต คือได้มาใหม่ๆ แบตจะไม่ค่อยอึด ต้องผ่าน 2-3 วันไป ถึงจะดีขึ้น (จากที่เคยเปิดหน้าจอได้ 2ชม.ครึ่ง แบตจะเหลือ <10% กลายเป็นเปิดได้ 3ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย)
ปล. จริงๆ มีโหมด ultra stamina ด้วยนะ ซึ่ง ทำให้เครื่องใช้งานได้แค่แอพพื้นฐานเท่านั้น เช่นโทรศัพท์ กับข้อความ (ประมาณว่า freeze app ทั้งหมด)
ซึ่ง เมื่อออกจากโหมดนี้ ถ้าเคยฟรีซแอพไหน(ก่อนจะเข้าโหมดนี้)ไว้ มันจะrestore กลับมาทั้งหมด ต้องมาไล่ฟรีซใหม่ 555
ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวจดไว้ตอนทำรีวิวด้วย
สอบถามความเห็นหน่อยครับ
ณ เวลานี้ ระหว่าง M5 กับ Z3 Compact อันไหนน่าใช้ และคุ้มค่ามากกว่ากันครับ ??
เห็นว่า GPU Z3C แรงกว่า แต่ขณะเดียวกัน CPU ของ M5 ก็ได้เป็นแบบ 64 bit
ปล. แล้วคาดว่า M5 จะได้ไปต่อเป็น Marshmallow มั้ยครับ
สูสีครับ สำหรับเรื่อง Marshmallow ดูจากผลงานที่ผ่านมาของ Sony น่าจะไม่พลาดทั้งสองตัว แต่เป็นผมจะเลือกตัวที่ใหม่กว่า