เติบโตกันอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดสามารถทำกำไรให้กับธุรกิจสตรีมมิ่งได้เสียที Spotify บริการสตรีมมิ่งชื่อดังสัญชาติสวีเดนที่สร้างชื่อเสียงในแง่การเป็น “บริการสตรีมมิ่งเพลงที่รู้ใจคนฟังเป็นอย่างดี” มาโดยตลอด และสามารถครองใจผู้ใช้บริการชาวไทยได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2017 เท่านั้นเอง
Spotify เปิดให้บริการมาเป็น 10 ปี มีกำไรครั้งแรก
หลังจากผ่านมา 13 ปี นับตั้งแต่ Spotify เกิดขึ้นมาหรือราวๆ 10 ปีที่เริ่มมีการให้บริการอย่างเป็นทางการ ผนวกกับผู้ใช้บริการ Spotify Premium กว่า 96 ล้านบัญชีทั่วโลกในปัจจุบัน ในที่สุด Spotify ก็สามารถทำกำไรจากธุรกิจนี้ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัท (ไม่นับรวมตัวเลขกำไรจากการปรับปรุงทางบัญชีช่วงปลายปีก่อน ที่มีการแลกเปลี่ยนหุ้นระหว่าง Spotify กับ Tencent ผู้เป็นเจ้าของ QQ Music หรือ JOOX) เรียกว่าสถานะเป็นบวก เขียวทุกบัญชี ตั้งแต่รายได้จากผลประกอบการ รายได้สุทธิ และบัญชีกระแสเงินสดมีกำไรทั้งหมด โดยทางบริษัทได้ประกาศผลกำไรจากการดำเนินออกมาอยู่ที่ 107 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 3,350 ล้านบาท
ภาพรวมธุรกิจสตรีมมิ่งส่อแววดีขึ้น
นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับธุรกิจกลุ่มสตรีมมิ่งเพลง ไม่ใช่แค่เฉพาะกับ Spotify เองเท่านั้น แต่ในภาพรวมทั้งหมดด้วยว่านี่คือธุรกิจที่เติบโตได้ เพราะ Spotify นับว่าเป็นเบอร์ 1 ของโลกขณะนี้ก็ว่าได้เพราะนับเฉพาะผู้ใช้บริการแบบจ่ายรายเดือน (Subscription) ก็นำชาวบ้านเค้าไปไกลอยู่ที่กว่า 96 ล้านบัญชีทั่วโลก ขณะที่เบอร์ 2 อย่าง Apple Music นั้นมีผู้ใช้งานอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบัญชีนั่นเอง นอกจากนั้นแล้ว Spotify ยังมีการประกาศออกมาอีกว่า Active Users ของพวกเขานั้น มีมากถึงประมาณ 207 ล้านบัญชีต่อเดือนอีกด้วย
ก้าวถัดไปขยายทุน ขยายฐานผู้ใช้งาน
อย่างไรก็ตามจากการประเมิน Spotify น่าจะทำกำไรสำหรับปีนี้ได้เฉพาะไตรมาสแรกเท่านั้น เพราะแผนงานระยะยาวยังพุ่งเป้าไปที่การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไหนจะเพิ่งประกาศขึ้นบัญชีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาไปเมื่อปีที่ผ่านมา และล่าสุดยังประกาศขยายกิจการไปสู่กลุ่มผู้ใช้งานที่เน้น Podcast เป็นหลัก จากการเข้าซื้อกิจการ Podcast สุดฮิป 2 รายอย่าง Gimlet Media และ Anchor โดยการประเมินเบื้องต้นคาดว่า ภาพรวมของปี 2019 Spotify น่าจะมีผลกำไรเป็นตัวเลขขาดทุนอยู่ที่ราวๆ 200 – 360 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 6,000 – 11,000 ล้านบาทเลยทีเดียว 😯
ที่มา: The Verge
Comment