สืบเนื่องจากข่าว iPhone 6s กับประเด็น Chipgate ที่เกิดจากใช้ชิป A9 จากผู้ผลิตคนละเจ้า ซึ่งเป็นการพูดถึงเรื่องชิป Apple A9 ของ iPhone 6S ที่มาจากผู้ผลิต 2 เจ้าคือ Samsung และ TSMC แล้วทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำของเครื่องที่ใช้ชิปต่างกัน ปรากฎว่าทาง NCC หรือ กสทช.ของไต้หวันอาจจะสั่งให้ Apple เปิดเผยข้อมูล Chip ที่อยู่ในเครื่อง iPhone 6S ที่ขายในไต้หวันทุกเครื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกได้ว่าจะซื้อเครื่องที่ใช้ Chip จากผู้ผลิตไหน

เมื่อวานนี้มีรายงานข่าวจากประเทศไต้หวันระบุว่า หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคของไต้หวัน (คล้าย สคบ. บ้านเรา) ได้ส่งเรื่องไปให้ทาง NCC ช่วยตรวจสอบเครื่อง iPhone 6S ที่จำหน่ายในไต้หวันว่ามีปัญหาความเหลื่อมล้ำในเรื่องประสิทธิภาพของตัวเครื่องจากการใช้ Chip ต่างผู้ผลิตจริงหรือไม่ เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

ทาง NCC ก็ออกมารับลูกว่าจะทำการตรวจสอบและถ้าผลลัพธ์ออกมาว่า เครื่อง iPhone 6S ที่ใช้ชิปของ Samsung มีการใช้พลังงานมากกว่าเครื่องที่ใช้ชิปของ TSMC จริงและอยู่ในระดับที่กระทบคุณภาพการใช้งานของตัวเครื่อง ทาง NCC จะปรึกษากับรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ถึงความเป็นไปได้ที่จะบอกให้ Apple เปิดเผยข้อมูลของ CPU หรือ Chip ที่ใช้ในเครื่อง iPhone 6S ที่ขายในไต้หวัน

Apple เริ่มขาย iPhone 6S ในไต้หวันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และจากข่าวสารในอินเตอร์เน็ตที่มีคนเปรียบเทียบ iPhone 6S ที่ใช้ชิปต่างกันแล้วปรากฎว่า เครื่อง iPhone 6S ที่ใช้ชิปของ TSMC ทำงานได้ดีกว่าเครื่องของ Samsung ทั้งในแง่ของการประหยัดพลังงานและการระบายความร้อน ทำให้ผู้ใช้หลายคนเริ่มรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียม และต้องการขอเงินคืนหรือขอเปลี่ยนเครื่องเป็นอันที่ดีกว่า ซึ่งทาง NCC เองต้องการจะให้ Apple ทำอะไรสักอย่างภายในเวลา 3 เดือนนับจากนี้

ทั้งนี้เกี่ยวกับข่าวเรื่อง Chipgate นั้น Apple ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ออกมาแล้ว ดังนี้

การทดสอบในห้องแล็บที่ตั้งใจให้หน่วยประมวลผล(ของมือถือ)ทำงานอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องไปจนแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง ไม่สามารถนำมาบ่งชี้การใช้งานในโลกความเป็นจริงได้ เนื่องจาก CPU ต้องทำงานในระดับสูงสุดเป็นเวลานานเกินกว่าความเป็นจริง วิธีการแบบนี้ไม่ถูกต้องที่จะเอามาวัดอายุของแบตเตอรี่จากการใช้งานจริง จากการทดสอบของเราเองและจากข้อมูลของลูกค้านั้นแสดงให้เห็นว่า อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของจริงใน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus นั้นแตกต่างกันแค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

 

 วิดีโอข่าวจาก China Times (ภาษาจีน)

 

ที่มา: Taipei Times , Focus Taiwan , China Times , Apple Daily (Taiwan)