ในระหว่างงานเลี้ยงของ Electronic Privacy Information Center หรือ EPIC ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลเกี่ยวกับการป้องกันความเป็นส่วนตัวของข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ต Tim Cook ได้พูดปาฐกถาในฐานะผู้ได้รับรางวัล Champions of Freedom ผ่านทาง Video Conference โดยกล่าวถึงแนวทางที่ Apple ปฏิบัติเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจเกี่ยวกับเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ในขณะที่ก็ไม่ลืมพูดถึงบริษัทอื่นว่าล้มเหลวในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง เช่น Google
Tim Cook เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่างความเป็นส่วนตัวกับความปลอดภัยของข้อมูล เพราะ Apple สามารถให้ได้ทั้งสองอย่าง พร้อมยังแอบแซะไปถึงบริษัทอื่นใน Silicon Valley ว่าทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่ Apple ทำ โดยเฉพาะการสร้างเนื้อสร้างตัวให้ธุรกิจของตัวเองจากการใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้
“ตอนนี้ผมพูดกับพวกคุณจาก Silicon Valley ที่มีบริษัทใหญ่ที่ประสบความสำเร็จจากการกล่อมให้ลูกค้าเชื่อใจและส่งข้อมูลส่วนตัวให้พวกเขา จากนั้นพวกเขาก็สูบเอาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ และพยายามสร้างรายได้จากข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งพวกเราคิดว่า มันผิดมหันต์ และ Apple จะไม่ใช้แนวทางหากินแบบนี้เด็ดขาด”
Tim Cook ยังกล่าวต่อไปว่า Apple เชื่อว่าลูกค้าเป็นคนที่ควรควบคุมข้อมูลของตัวเอง “ของฟรีไม่ใช่เหตุผลที่จะเอาข้อมูลตัวเองไปเสี่ยง” ตรงนี้คือแซะบริการ Google Photos โดยตรง
“พวกคุณอาจจะชอบของฟรีแบบนี้นะ แต่พวกเราคิดว่ามันไม่คุ้มหรอกที่จะเอา email ของคุณ, ประวัติการค้นหาของคุณ หรือแม้แต่รูปถ่ายครอบครัวของคุณ ไปให้พวกนั้นขุดเอาข้อมูลและเอาไปขายเพื่อการโฆษณา”
จากนั้น Tim Cook ก็เปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อป้องกันข้อมูลของลูกค้า โดยบอกว่า เขาเห็นความพยายามจากคนของรัฐบาลบางคนที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนในประเทศซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก และ Apple ก็เสนอเครื่องมือเข้ารหัสข้อมูลในผลิตภัณฑ์ทุกตัวของบริษัทเพื่อป้องกันเรื่องนี้อยู่แล้วและจะทำต่อไป
“พวกเรานำเสนอเครื่องมือเข้ารหัสข้อมูลในผลิตภัณฑ์ของเรามาหลายปีแล้วและเราจะทำอย่างนี้ต่อไป พวกเราคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับลูกค้าที่ต้องการให้ข้อมูลของตัวเองปลอดภัย หลายปีแล้วที่เราเข้ารหัสข้อมูลใน iMessage และ FaceTime เพราะเราเชื่อว่าเนื้อหาในข้อความของคุณและภาพวิดีโอของคุณไม่ใช่ธุรกิจของเรา”
“ถ้าคุณซ่อนกุญแจไว้ใต้พรมสำหรับตำรวจ พวกโจรก็หามันเจอเหมือนกัน พวกอาชญากรไซเบอร์จะใช้ทุกๆเครื่องมือที่มีเพื่อ hack ข้อมูลใน account ของคุณ ถ้าพวกนั้นรู้ว่ามันมีกุญแจซ่อนอยู่ พวกนั้นจะไม่หยุดจนกว่าจะหามันเจอ
จบการปาฐกถาสำหรับวันนี้ ขอเชิญเพื่อนๆสมาชิกร่วมอภิปราย
ที่มา: 9to5mac
ของฟรีไม่มีในโลกอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่ได้จ่ายเป็นเงินเท่านั้นเลยคิดว่าฟรี
+100
+1
ผมยินดีที่จะเอาข้อมูลของผมไปเสี่ยงกับGoogle
เพราะ
ข้อมูลของผมมีค่าสำหรับผมแต่ไร้ค่าสำหรับคนอื่นคงไม่มีคนจ้องขโมยข้อมูลผมอยู่ใช่มั้ย 555
และที่สำคัญมากคือ
ไม่มีเงินซื้อ iPhone 555
มันไม่ไร้ค่าหรอกครับ ขอมูลชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร บัญชีธนาคาร ที่คิดว่าไม่มีอะไร เผลอๆก็ซื้อขายกันนะครับ
เคยโดนโทรมาชวนทำประกันนู่นนี่นั่น ทั้งๆที่ไม่เคยไปลงชื่อสนใจไว้ที่ไหนใหมครับ รูปถ่ายเอย อะไรเอยอีกเยอะแยะที่คิดว่าไร้ค่า มันมีค่าทั้งนั้นแหละ
สมมุติ ผมเป็นกูเกิ้ล เห็นคุณถ่ายรูปอาหาร ท่องเที่ยวบ่อยๆ (ก็ไม่มีอะไรนี่ รูปอาหารญี่ปุ่นธรรมดา รูปวิวทั่วๆไป) ผมก็เอาข้อมูลตรงนั้น ไปขายโฆษณาพวกร้านอาหาร บริษัทท่องเที่ยว ให้ส่งข้อมูลเข้าเมลคุณรัวๆก็ได้นะครับ
ยิ่ง photos ล่าสุดฉลาดมาก จับได้หมดหน้าใครเป็นใคร วิเคราะห์ได้ถึงกระทั่งตอนคนคนนั้นยังเด็ก หมาแมว สถานที่ ก็คงวิเคราะห์ได้เช่นกัน
+101
ผมว่าคุณกำลังสับสนนะ ประเด็นคือบริการของตัว Google เองมันเชื่อมถึงกันทำให้ Google เลือกโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายจากข้อมูลที่มีอยู่ ไม่ได้มีส่วนไหนเลยนะที่เค้าบอกว่าเอาข้อมูลส่วนตัวลูกค้าไปขายให้แก่บริษัทหาผลประโยชน์อื่นๆ กล่าวหาลอยๆแบบนี้ไม่ดีนะครับ
ทิมก็พูดแรงไปนะ //ปูเสื่อรอมาม่า 555+
ใช่ปีที่แล้วรึเปล่า ที่มีเหตุการณ์ภาพหลุดดาราเป็นร้อยๆคนจาก icloud
กำลังจะพิมพ์เลย 55
ประเด็นนี้ สืบข้อเท็จจริง พบว่าเป็นการที่ดาราใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย ไม่ใช่เจาะเข้าไปใน iCloud ครับ
แปลว่าดาราหลายสิบคนที่หลุดออกมา คงใช้รหัสเดาง่ายทุกคน
"ถ้าคุณซ่อนกุญแจไว้ใต้พรมสำหรับตำรวจ พวกโจรก็หามันเจอเหมือนกัน พวกอาชญากรไซเบอร์จะใช้ทุกๆเครื่องมือที่มีเพื่อ hack ข้อมูลใน account ของคุณ ถ้าพวกนั้นรู้ว่ามันมีกุญแจซ่อนอยู่ พวกนั้นจะไม่หยุดจนกว่าจะหามันเจอ"
อันนี้เขาพูดได้ดีและเป็นจริงตามนั้นคับ
ความปลอดภัย มันไม่เคยมี
มีแต่หลงคิดว่าปลอดภัย
บทความนี้เข้าข้างทิมนะ แม้ปีก่อนappleจะมีปัญหาเรื่องข้อมูลก็ตาม
ประเด็นนี้ สืบข้อเท็จจริง พบว่าเป็นการที่ดาราใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย ไม่ใช่เจาะเข้าไปใน iCloud ครับ
แปลว่าดาราหลายสิบคนที่หลุดออกมา คงใช้รหัสเดาง่ายทุกคน
คงใช้
เชิญ Google ล้วงข้อมูลผมตามสบายครับ แต่ขอฟรีทุกๆ service เพราะผมไม่มีเงินครับ
ผมว่ามันแยกกันระหว่าง 2 กลุ่มนะครับ คนมีรายได้น้อยก็ให้ข้อมูลเพื่อแลกกับ it service ต่างๆไว้เพื่อทำมาหากินหรือเพื่อความบันเทิง
ส่วนคนมีเงินความลับเยอะ ก็ยอมเสียเงินแลกความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น (แต่ก็ไม่ได้การันตี 100% ของแพงใช่ว่าจะปลอดภัย 100% siri ไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่ถูกเชื่อมต่อ sever)
เหมือนกัน เอาไปได้ตามสบายเลย ไม่มีอะไรเป็นความลับอยู่แล้ว แค่ของฟรีเยอะๆ ดีๆ สะดวกๆ แค่นั้นพอ
Apple หลอกโจมตี Google เพราะเป็นคู่แข่ง จากการสำรวจที่เคยอ่านมา บริษัทที่นำข้อมูลไปขายมากที่สุด ก็คือ Facebook แต่ Apple ก็เลือกที่จะไม่โจมตี เพราะยังไม่มีแรงจูงใจให้โจมตี
เรื่องเอาชั่วให้คนอื่น นี่ Apple ถนัดมาก ปีหน้าคงออก นาฬิกาทรงกลม ที่ยอดที่สุดในโลก มาขายให้คนที่อยากได้กัน
+1 ใช่เลย ทำเป็นเหนือคนอื่นตลอด ทีตัวเองทำผิด ทำเป็นเนียน เที่ยวไปว่าคนอื่นก๊อปปี้ ตัวเองเอานาฬิกามาจากสถานีรถไฟที่สวิสต์มาใช้ทำเป็นเงียบ
เขาซื้อลิขสิทธิ์มาครับ
copy มาครับ หลังจากโดนฟ้องก็จ่ายตังค์ตามระเบียบ จบข่าว… 🙂
หลักการตลาดอย่างนึงคือ พูดถึงข้อดีตัวเองเยอะๆ และโจมตีจุดด้อยของอีกฝ่าย
ดังนั้น ไม่ว่าจะแอปเปิ้ล กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค หรือบริษัทไหน วงการไหนก็ตาม ทำแบบเดียวกันหมดครับ อยู่กะวาระแค่นั้นเองว่าจะเอาใครมาด่า
แล้วเรื่องเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น ฝรั่งเป็นชนชาติที่ถนัดมากครับ จำไว้
อย่างน้อยรูปโป้ก็ไม่มีในคลั่ง GG photo และก็ยังไม่หลุดเลย5555
ผมว่ากูเกิ้ลก็ทำออกมาได้สมดุลนะ ไม่ได้สแกนข้อมูลเราแล้วเอาออกไปขายให้คนอื่นตรงๆ แต่ใช้อัลกอลิทึมต่างๆ เพื่อให้ไปใช้ในงานโฆณาได้โดยไม่ต้องผ่านสิ่งมีชีวิตตรงๆ ผมว่ามันก็โอเครนะ
อะไรที่เป็นความลับและเซนซีทีฟเราก็ไม่ควรเอาไปไว้บนออนไลน์อยู่แล้ว ยังไงเสียเราก็เป็นคนกำหนดนะครับว่าเราจะเอาอะไรขึ้นไปบ้าง
ไอ้ตรงนี้แหละครับที่คนส่วนใหญ่ไม่คำนึงถึง
ถ้าพูดเรื่อง photo ใหม่อยู่ล่ะครับ ผมว่าการที่เล่นเฟส อัพรัวๆ ทุกวันๆ มีความเสี่ยงมากกว่าขนรูปทั้งหมดไปไว้บน google photo อีกนะ
จริงอยู่ว่าข้างหลังแล้วมันมีการเอาข้อมูลไปประมวลผล แต่นั้นส่วนหนึ่งเราก็ยังได้ประโยชน์ ถ้าวันหนึ่ง google จะรู้ว่าผมชอบถ่ายรูปอะไร กินอาหารแบบไหน ไปเที่ยวกับใคร ผมว่าก็ไม่ได้เสียหายเลย เพราะวันนี้มันก็รู้อยู๋แล้วว่าเช้ามาผมต้องไปทำงานที่ไหน เย็นมาก็เตือนให้กลับบ้านพร้อม หาเส้นทางให้อีก
ผมว่าเรื่องแบบนี้มันเป้น win-win solution มากๆ และก็เชื่อและมั่นใจว่า การขายข้อมูลออกไปของ google ไม่ใช่ ขายเป็นข้อมูลรายหัวแบบข้อมูลเสนอขายบัตรเครดิตหรือขายประกันแน่ๆ มันเป็นขายข้อมูลเชิงสังเคราะห์หรือเทรนของข้อมูลที่เค้าประมวลผลได้มา ซึ่งแน่ล่ะ เค้าไม่ได้ได้มาฟรี ๆ แต่ต้นทุนของเค้าก็คือกรรมวิธี(ความรู้ความคิด)และพื้นที่เก็บข้อมูล(ต้นทุนเชิงปริมาณ)ของเรานั้นแหละ
โมเดลการใช้สปอนเซอร์เข้ามาช่วยให้บริการถูกลง วันนี้เรามีบริการดี ๆ จากกูเกิ้ลใช้ฟรี ๆ โดยเรายอมเห็นโฆษณาบ้างจะเป็นไร ซึ่งเค้าก็พยายามแล้วที่จะหาสิ่งที่เราสนใจมานำเสนอด้วย ไม่ใช่อะไรก็ไม่รู้ไม่น่าสนใจ เพราะมันก็ทำเงินให้เค้าได้มากกว่าเช่นกัน
ดีกว่าบริการสาธารณะหลาย ๆ อย่าง รถไฟฟ้า รถเมล์ แท็กซี่ ที่มีโฆษณายัดเยียดให้เราดูแต่เราได้ใช้บริการเหล่านั้นถูกลงหรือไม่…ก็เปล่าเลย เลือกได้มั๊ย….ก็ไม่ได้
แต่…สิ่งที่กูเกิ้ลนำเสนอออกมา ฟรี แต่มีสิ่งแลกกันนะ ถ้าสิ่งนั้นใครเห็นว่ามันรบกวนความเป็นส่วนตัวในชีวิตมาก ๆ ก็ไม่ต้องใช้ครับ…เค้าไม่ได้บังคับ ของที่เสียเงินแล้วคุณพอใจในโลกคงมีอีกเยอะแหละเลือกเอาเถอะ
Apple vs Goolge ธุรกิจหลัก (Core Bussines) เค้าต่างกันอยู่แล้ว เอามางัดกันไม่ได้หรอก เจ้าหนึ่งขายของเป็นชิ้นเป็นอัน อีกเจ้าขายบริการที่จับเป็นชิ้นๆไม่ได้ จะบอกว่า Apple ไม่ทำแบบ Google ก็ไม่ถูกนัก เพราะลอง Apple ให้ใช้ Free Storage ดูสิ จะไปหาเงินซัพพอร์ตมากจากไหน เพราะรับฝากไว้แต่ทำเงินไม่ได้ อีกอย่างคุณขายของได้ครั้งเดียวแค่นี้ก็แพงแย่แล้วถ้าจะบวกอีกลูกค้ารายย่อยคงหด
แต่เอาเข้าจริงๆ มาวิเคราะห์ส่วนของ Storge ดูบ้าง ตอนนี้ HDD 2TB ลูกล่ะสามพันกว่าบาทเท่านั้น คุณคิดว่าคนจะฝากข้อมูลฟรีๆขึ้นไปบน photo รวมๆแล้วต่อหัวสักกี่ GB (อย่าลืมว่าของฟรีต้องโดน compress ก่อนอีกนะ) อ่ะ….ให้กลม ๆ คนละ 1TB เลยก็แล้วกัน คิดเป็นเงินไม่เกิน 2000บาท ถ้าสามารถหาเงินจากข้อมูลตรงนี้ในเชิงปริมาณที่ผ่านการสังเคราะห์และวิเคราห์แล้ว ผมว่ามันคุ้มมากเลยเก็บข้อมูลแบบนี้
ลองคิดถึง นศ. ป.โท ที่นั่งทำวิจัยดูครับ ข้อมูลเชิงลึกถ้าไปเก็บต่อหัวแล้ว คิดเป็นหัวละหลักหลายร้อยบาท แถมเก็บได้ไม่กี่อย่างในแง่มุมเดียวเองด้วย แต่นี้เค้าเอาไปวิเคราะห์ซ้ำไปซ้ำมาได้เพียบเลย แล้วข้อมูลพวกนี้น่ากลัวมั๊ย…ผมก็ว่าไม่น่ากลัว ตราบเท่าที่รูปเราไม่หลุดออกไปถึงมือที่สามเป็นรูปๆเป็นใบๆ ให้มิจฉาชีพเอาไปแอบอ้าง แบบที่เจอกันบน fb ด้วยซ้ำไป
เห็นด้วยเป็นอย่างมาก ความเป็นส่วนตัวมันหายไปตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาใช้อินเตอร์เน็ตแล้วครับ
hahahaha ทิมมันคงไม่ได้เข้ากุ๊กเกิ้ลมานาน มันเลยไม่รู้ว่าผู้ใช้รู้อยู่แล้ว(และก็มักจะยอมกันซะด้วย ไม่เชื่ออ่านคอมเม้นข้างบนดู) และบริษัทที่จะทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ปกปิดอะไร แถมถ้าไม่ชอบก็หันไปใช้บริการอื่นๆที่คล้ายกันได้(ที่ไม่ดักข้อมูลเราไปขาย) ฟรีเหมือนกันด้วย เรื่องนี้ทิมอาจจะด่าไมโครซอฟด้วย ที่ล่าสุดมีข่าวว่าระบุผ่านเว็บว่าภาพจากแอปทายอายุ อาจจะถูกเอาไปใช้ต่อ แต่
ประเด็นคือ เราควรได้รับสิทธิ์แบบไหนบนโลกใบบูดๆเบี้ยวๆใบนี้ และผมคิดว่า มันอยู่ที่การตกลงกันระหว่างผู้ขายกับคนซื้อ ถ้าเราคิดมากโครตๆเรื่องข้อมูลส่วนตัวเหมือนบารักโอบาม่า ก็ให้พิจารณาของเล่นให้ดีๆก่อนซื้อ แต่ถ้าไม่คิดมาก ทิมก็ไม่ต้องมายุ่งตรงนี้ ถ้าจะมาเหม๋ารวมว่าที่ทำๆกันอยู่มันผิด เทพเค้าไม่ทำกัน ก็ทำไปตามที่ทิมสบายใจเลย แอปเปิ้ลไม่ได้มีิสิทธิ์มากำหนดทิศทางโลกอยู่แล้ว ยังไงถ้าสิ่งที่กุ๊กเกิ้ลหรือไมโครซอร์ฟทำมันมากเกินไป มีหรือที่ผู้ใช้จะนั่งอยู่เฉยๆ บร้าาาาา 🙂
ข่าว Apple ฮอตฮิต ตลอด
ต่างจาก ข่าว Android ออก OS ตัวใหม่มากกกกกกกกกกกก
มี ไม่ถึง 10 คอมเม้น อืมๆ
อยากได้ ยอดวิว ก็ลง ข่าว Apple เยอะๆ นะ แอดมิน applesans
แหมมม ข่าวไมโครซอฟ บีบี หรือผลไม้ก็ดีนะครับ เอาไว้ระบายอารมณ์เอ้ยยย เอาไว้ด่าเอ้ยยย ไม่ใช่ เอาไว้เปรียบเทียบบริการ ว่าดรอยควรต้องปรับปรุงอะไร หรือคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งที่ค้ายอื่นๆนำเสนอ ที่มันมีเม้นมากก็เพราะว่านานๆมันออกมาทีนึง คนก็รอด่าเอ้ยยย รอที่จะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นไงครับ หะหะหะ
" มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับลูกค้าที่ต้องการให้ข้อมูลของตัวเองปลอดภัย"
เจนนิเฟอร์ ลอเรนซ์ ไม่ได้กล่าวไว้
+1 M
555+
ลั่นเลย
สู้ apple ไม่ได้ หาผลประโยชน์จากการขาย h/w เก่าๆ s/w ความสามารถเมื่อ 2-3 ปีก่อน มาชาร์จค่า brand และโฆษณา ได้กำไรกว่าเยอะ 😉
ใครจะไปกล้าทำ OS Smartphone ให้ใช้ฟรี
อย่างไรก็ดีแม้คุณจะใช้สินค้าapple แต่googleก็ยังสูบข้อมูลของคุณได้อยู่ดี Tim cook ไม่ได้พูดเอาไว้
ป.ล. google เป็นwebหาข้อมูลมาแต่กำเนิดอยู่แล้ว เหมือนบอกว่าปลาทำไมถึงอยู่ในน้ำ ฉันจะอยู่บนบก
ใช้ Apple แล้วใช้ เสริชเอนจิ๊นอะไร อย่าบอกนะว่าใช้ bing แล้วคนใช้ Apple มี Gmail Account ไหมผมมองไม่เห็นว่าใครจะรอดสายตา อากู๊ ไปได้เลย จริงอยู่ photo เป็นบริการใหม่ บริการหนึ่ง ที่หน้ากลัวถ้ามองในเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ มันก็ไม่ได้น่ากลัว เท่ากับ facebook หรอก มั้ง ที่แอฟเดียว รู้ทั้งรูป รู้ทั้งตำแหน่งที่โพส รู้ไปซ่ะหมด App มันถึงได้ใหญ่โต กิน แรม มหาศาล จนใครๆว่ากล่าว พี่ มาร์คก็ไม่ แยแส ที่จะแก้ไข เพราะแกได้ไปหลายดอก ส่วน บริการต่างๆของ กูเกิ้ล ถ้าไม่เล่นโดย ไม่ศึกษาอะไรเลยผมว่า เค้าก็รักษาผมประโยชน์ ของผู้ใช้พอสมควร ไม่ได้บังคับ ให้ใครทำอะไร โดยไม่ได้บอกกล่าว ไหน จะมี คนที่ ไม่ได้ชอบเค้าออกมาโจมติ วิภาควิจารณ์ ทำให้เรา คอยระวัง การใช้บริกาการ ของเขาได้ พอสมควร แต่กลับ facbook เหมือนเราโดนบังคับยังงัยก็ไม่รู้ จริงอยู่ บางคนอาจจะบอกว่า ก็ไม่ต้อง ใช้เฟสบุคสิ แต่สมัยนี้ พฤติกรรม การใช้อินเตอร์เนทเปลี่ยนไปมาก แม้แต่การหาข้อมูล หรือสั่งซื้อสินค้า ก็ทำกันบนเฟสบุคเป็นส่วนใหญ่ มากกว่าทำหน้าเวป หรือ แอพขายของด้วยซ้ำ ทั้งที่ ไม่มีระบบ ประกัน หรือตรวจสอบผู้ขายเลย มีปัญหาไปด่า ผู้ขายก็ปิดเฟสหนี เปิดขายอีกอันอันใหม่ แบบนี้ น่ากลัวกว่า ใจจริง ก็เริ่มไม่อยากใช้ แต่ มันยังไม่มีอะไรที่ดีกว่า และมหาชนใช้กันเยอะเท่า เอาจริงๆ ติดต่อ เพื่อน ยิ่งพวก ตปท. เขาไม่เล่นไลน์ แบบบ้านเรา หรือเพื่อนไลน์ก็เถอะ ทักไปสองทาง ตอบกลับเฟส มาก่อน
เพราะคนส่วนใหญ่เดียวนี้ เปิดเฟส แทนหน้าเวปกันแล้ว
เรื่องนี้ ถ้าเอาจริงๆ Apple ควร จะมี service ของตนเอง และควร เปลียบเทียบในแง่ service ไม่ใช่ ออกทะเล เอา icound ซึ่งเป็น private sevice ไปเทียบกับ public servie หรือ social service เพราะเรื่องของ ความปลอดภัย มันมองต่างกันเยอะ คนอ่าน ฟัง ไม่เข้าใจ ประเดน ก็หลงกันไปเลย ไม่ต้องเป็นสาวกฝั่งไหน ก็หลงได้ สุดท้าย โจมตีกันไปมา
ของก็ขายได้ทั้งคู่ พี่มาร์ค ก็ยังขายข้อมูล และรวยต่อไป 555+
อีกนิดหนึ่ง บทที่ทิมพูด ผม ก็ไม่ได้ฟังนะ แต่ถ้าจากที่แปลมา ทิมก็ไม่ได้เผยอะไรว่าเป็น อากู๊ อาจจะเป็น พี่มาร์ค ก็ได้ ก็เดากันไป ต่างๆ นานๆ ทั้งที่ จริงๆ แล้ว อาจจะแอบกัดหมด นั่นแหล่ะ แต่ photo เปิดตัวเข้าตาพอดี เราก็ไม่ต้องไปเล่นตามพี่แก อย่างที่บอก service คนละแบบกันเลย เทียบกันไม่ได้หรอก อย่าเทียบดีกว่า
ถ้าข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อแกเลคซี่ทางช้างเผือก ก็เอาไปใช้เถอะ
อย่าให้บุคคลนั้นเดือดร้อนก็พอ