ทรูเข้าชี้แจงกับทาง กสทช. ในประเด็นคุณภาพของสัญญาณและแพ็กเกจค่าบริการหลังจากที่ควบรวมกิจการกับทางดีแทค เพื่อเน้นย้ำในเรื่องมาตรฐานและคุณภาพ พร้อมเผยว่าหลังควบรวมสัญญาณดีขึ้นจริง เครือข่ายครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และได้เพิ่มพื้นที่การใช้เทคโนโลยี Single Grid ให้ครอบคลุมทั่วไทยในปี 2568

ทรู คอร์ปอเรชั่น ชี้แจงกับ กสทช. ในประเด็นคุณภาพของสัญญาณหลังจากควบรวมกับดีแทค ซึ่งได้เผยว่าสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 5G และ 4G ของลูกค้าทั้งสองแบรนด์ดีขึ้นทันที จากการโรมมิ่งสัญญาณคลื่น 2600 MHz และ 700 MHz

และเครือข่ายจะครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยก่อนควบรวมสัญญาณ 4G ดีแทคอยู่ที่ 96.93% ทรูอยู่ที่ 99.06 % ส่วนหลังควบรวมดีแทคและทรูมีความครอบคลุมเป็น 99.28% 

ส่วนสัญญาณ 5G ก่อนควบรวมดีแทคอยู่ที่ 46.87% ทรูอยู่ที่ 85.69% ส่วนหลังควบรวมดีแทคและทรูมีความครอบคลุม 5G มากขึ้นเป็น 90% โดยได้มีการนำเทคโนโลยี Single Grid มาใช้ทำให้สัญญาณดีมากขึ้น การรบกวนของสัญญาณลดลง ตลอดจนเพิ่มพื้นที่ใช้งานครอบคลุมทั่วไทยมากขึ้น คาดจะเสร็จภายในปี 2568

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอแพ็กเกจที่หลากหลาย โดยราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป มีทั้งแบบเติมเงินและแบบรายเดือน อีกทั้งไลฟ์สไตล์การทำงานดาต้าของลูกค้าที่มีการปรับเพิ่มตามกระแสของดิจิทัล ทำให้ปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตของลูกค้าทั้งทรูและดีแทคเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน ๆ มา

โดยทรูมีปริมาณการใช้งานดาต้าของลูกค้าเพิ่มขึ้น 24% ขณะที่ดีแทคเพิ่ม 18% จากปีที่ผ่านมา มาจากการเข้าถึงโครงข่ายสัญญาณที่ดียิ่งขึ้น  จึงได้มีปรับเปลี่ยนแพ็กเกจมือถือให้มีความหลากหลายด้วยการหาสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่นอกเหนือการบริการโทรคมนาคม (Non-Telco benefits) มาให้แก่ลูกค้า ตัวอย่างเช่น

  • คูปองเงินสด
  • คอนเทนท์แพลตฟอร์มต่าง ๆ ฟรี
  • แพ็กเกจบอล EPL หนัง ซีรีส์
  • TrueID
  • TrueX
  • ประกัน
  • อาหารและเครื่องดื่มจากแบรนด์ดัง
  • ส่วนลดร้านค้าห้างสรรพสินค้า

และเมื่อลูกค้าใช้งานแพ็กเกจครบตามกำหนดอายุการใช้งานตามสัญญา ทางบริษัทฯ จะมีการส่ง SMS แจ้งเตือนให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าก่อน 30 วัน  และจะมีการพิจารณานำเสนอแพ็กเกจที่น่าจะเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า หากลูกค้าไม่ต้องการเปลี่ยนไปใช้ตามแพ็คเกจที่นำเสนอก็สามารถเลือกใช้แพ็กเกจเดิมหรืออื่น ๆ ได้ตามปกติ

ที่มา : True | dtac