ในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ก็จะถึงเวลาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งแล้ว บอกเลยว่าช่วงนี้ทั้ง Donald Trump และ Joe Biden ก็ต่างขับเคี่ยวทางการเมืองกันอย่างเข้มข้น เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน แน่นอนว่าคนที่เรียกกระแสและมีพื้นที่ในหน้าสื่อมากกว่าเป็นฝ่ายของ Donald Trump มากกว่าหลังจากเหตุลอบสังหารเมื่อไม่กี่วันก่อน

Donald Trump ตัวแทนจากพรรค Republican หรือฝั่งอนุรักษนิยมได้นำเสนอนโยบาย America First หรือนโยบายที่เน้นผลประโยชน์ของอเมริกาก่อน เรื่องอื่นในเวทีระดับโลกไม่ได้ให้ความสำคัญมาก ทำให้ประชาชนชาวอเมริกาหลายคนถูกใจนโยบายนี้มาก

แน่นอนว่าถ้า Donald Trump ชนะการเลือกตั้งและขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อีกครั้งย่อมทำให้นโยบายด้านต่างประเทศเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของไต้หวันที่เป็นประเทศซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทที่มีเทคโนโลยีการผลิตชิปล้ำหน้าที่สุดในโลกอย่าง TSMC

โดยทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Bloomberg Businessweek ว่า “ประเทศเราเองก็ไม่ต่างกับบริษัทประกันเลย ไต้หวันไม่เคยจ่ายอะไรให้เราแม้แต่แดงเดียว แต่ยังคงรวยขึ้นทุกวัน ๆ ที่ไต้หวันรวยได้ขนาดนี้เพราะเอาธุรกิจผลิตชิปของเราไปหมด จริง ๆ แล้วเราไม่ควรจะให้เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ”

ไต้หวันควรจะต้องจ่ายเงินค่าป้องกันประเทศ หรือ ค่ารักษาดินแดนให้กับสหรัฐบ้าง ซึ่งนโยบายของ Trump ต่างกับผู้สมัครอีกคนอย่าง Joe Biden ที่ให้คำมั่นว่าจะปกป้องไต้หวันในกรณีที่ถูกโจมตีจากจีน โดยที่ไม่จ่ายเงินหรืออะไรให้เป็นพิเศษ

หลังตากที่บทสัมภาษณ์นี้เผยแพร่ออกไปหุ้นของ TSMC ก็ร่วงลงมา 2.4% อย่างที่เรารู้กันว่า TSMC นั้นตั้งอยู่ในไต้หวัน และรับจ้างผลิตชิปให้กับบริษัทสัญชาติอเมริกันอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น NVIDIA, AMD, Apple

ซึ่งในปี 2022 ที่ผ่านมาผู้บริหารของ TSMC คุณ Mark Liu เคยบอกว่า ไม่มีใครสามารถใช้กำลังทหารควบคุม TSMC ได้ ถ้ามีใครใช้กำลังทหารเข้ามายึด TSMC พวกเขาจะไม่ได้อะไรกลับไปทั้งนั้น นอกจากทำให้ TSMC ผลิตชิปต่อไม่ได้เท่านั้น

ปัจจุบัน TSMC ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวแปรทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐไปแล้ว เพราะถ้าจีนบุกยึดไต้หวันจริง ๆ การผลิตชิปของโลกจะได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าอเมริกาจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้น แต่ Trump ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อีกครั้ง และผลักดันนโยบายนี้ ก็อาจจะทำให้ภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้เกิดความระส่ำระสายอีกครั้งก็ได้

ที่มา : tomshardware

ภาพ : cnbc