ในขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมาในขณะที่เรากำลังเชียร์บอลโลกนัดตัดสินกันอย่างสะใจ ล่าสุด CEO Twitter คนล่าสุดอย่าง Elon Musk นึกครึ้ม ออกกฎฟ้าผ่า ห้ามไม่ให้โพสต์ลิงก์ที่โยงไปยังแอปโซเชียลคู่แข่งอย่าง Facebook, Instagram, Mastodon, Tribel, Post, Nostr และ Truth Social ของ Donald Trump เนื่องจากเป็นการละเมิดกฎใหม่ “งดโปรโมทฟรี”

สำหรับใครที่ใช้งาน Twitter เป็นประจำอาจต้องระวังกฎใหม่ที่ว่านี้ให้ดี เพราะกฎใหม่นี้จะห้ามไม่ให้ผู้ใช้งานทวีตลิงก์ หรือ Username รวมถึงใส่ลิงก์ไว้บนหน้าประวัติส่วนตัวของตัวเอง (Bio) เพื่อชวนให้ไปใช้งาน หรือให้ไปติดตามกันในแพลตฟอร์มอื่น รวมถึงห้ามไม่ให้มีการสร้างแอคเคาท์เพื่อโปรโมทโซเชียลเน็ตเวิร์คคู่แข่งของตัวเองด้วย ซึ่งถึงแม้ผู้ใช้งานจะพยายามย่อลิงก์, เปลี่ยนคำใน URL, ใช้ภาพแคปหน้าจอ Profile ของแพลตฟอร์มคู่แข่งมาลง หรือแม้กระทั่งโพสลิงก์แพลตฟอร์มรวมบัญชีอย่าง Linktree ก็จะถือว่าละเมิดกฎที่ว่านี้ด้วยเช่นกัน

สำหรับผู้ใช้งานใดที่ Twitter พบว่ามีการฝ่าฝืนกฎเป็นครั้งแรกจะถูกล็อกบัญชีชั่วคราว และทำการลบทวีตที่มีลิงก์โยงไปยังแพลตฟอร์มคู่แข่งทันที แต่ถ้าหากมีการฝ่าฝืนกฎในครั้งต่อ ๆ ไปบัญชีก็จะถูกแบนอย่างถาวร แต่กฎที่ว่านี้จะยกเว้นในกรณีที่มีการทวีต Cross-post (โพสเนื้อหาแบบเดียวกันข้ามแพลตฟอร์ม) และยกเว้นในกรณีที่เสียเงินค่าโฆษณาให้กับ Twitter เท่านั้น ซึ่ง Elon Musk ยังได้ออกมากล่าวด้วยว่า Twitter ควรเป็นแพลตฟอร์มที่ง่ายสำหรับการใช้งาน แต่ไม่ใช่พื้นที่ที่จะให้คู่แข่งมาโฆษณาแบบฟรี ๆ

กฎใหม่ที่ว่านี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งก็มีหลายสื่อจากต่างประเทศเกิดแอคเคาท์บินโดยไม่ได้นัดหมาย รวมไปถึงโปรแกรมเมอร์ชื่อดังอย่าง Paul Graham ที่เคยออกมาสนับสนุนให้ Elon Musk ซื้อทวิตเตอร์ด้วย แต่ก็ถึงจะเป็นพวกกันก็ไม่วายโดนปิดแอคเคาท์ เพราะทวีตเชิญชวนให้ผู้ติดตามกว่า 1.5 ล้านคนตามไปติดตามกันในแอป Mastodon ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มทางเลือกที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Twitter นั่นเอง

ทั้งนี้แพลตฟอร์มโซเชียลที่ดูเหมือนจะไม่ใช้คู่แข่งโดยตรงอย่าง TikTok, YouTube, Weibo, หรือ OnlyFans ยังคงแชร์ได้อย่างปลอดภัยไม่ละเมิดกฎ แต่อย่างไรก็ตามล่าสุดทาง Twitter ได้ทำการเคลื่อนไหวด้วยการลบหน้าเว็บที่ระบุกฎที่ว่านี้ออก รวมถึงลบทวิตประกาศใช้กฎออกจากหน้า Twitter Support แล้วด้วยหลังมีกระแสตีกลับจากผู้ใช้งานอย่างรุนแรง จากนี้จะมีอะไรอัปเดตเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องคอยติดตาม

 

ที่มา: Engadget, The Verge