มาแล้ว โทรศัพท์อินดี้จาก Andy Rubin เจ้าพ่อ Android ผู้คิดค้นระบบ Android ให้เราได้ใช้กันทุกวันนี้ ถึงจะเป็นโทรศัพท์อินดี้แต่ราคาไม่อินดี้เลยนะครับ แพงกว่า Pixel 2 ที่เพิ่งเปิดตัวไปซะอีก แต่ไม่ใช่ว่าแพงแบบไม่มีเหตุผลนะครับ มันมีที่มาว่าทำไมถึงได้แพงขนาดนี้ มาดูกันเลยครับ
ก่อนอื่นมาดูคุณสมบัติของตัวเครื่องกันก่อนครับ
OS : Android 7.1 (Nougat)
CPU : Snapdragon 835
GPU : Adreno 540
แรม/รอม : 4 GB / 128 GB
ช่องใส่หน่วยความจำเพิ่ม : ไม่มี
จำนวนซิม : ซิมเดียว
หน้าจอ : LTPS IPS LCD ขนาด 5.71 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1312 ครอบด้วย Corning Gorilla Glass 5
กล้องหลัง : Dual 13 MP, f/1.9 phase detection & laser autofocus, LED flash, ขนาดเซนเซอร์ 1/3” 1.12um pixel size สี/ขาวดำ
กล้องหน้า : 8 MP, f/2.2
รูหูฟัง 3.5 : ไม่มี
Bluetooth : 5.0
WLAN : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band
เซนเซอร์ : Fingerprint (ด้านหลัง), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
ขนาด : 141.5 x 71.1 x 7.8 มิลลิลิเมตร
น้ำหนัก : 185 กรัม
วัดสุ : Titanium Frame
แบตเตอรี่ : Li-Ion 3,040 mAh ถอดเปลี่ยนไม่ได้
จากคุณสมบัติเครื่อง จะเห็นว่าจัดเต็มกันเลย แล้ววัสดุไม่ใช่โลหะธรรมดา เป็นเซรามิคด้านหลัง ส่วนรอบตัวเครื่องเป็นไทเทเนียม ที่แข็งแรงสุดๆ จากการทดสอบเวลาทำเครื่องตก (คนอื่นทดสอบนะครับ คงไม่ใช่ผมทดสอบแน่ๆ) จะทำให้จอไม่แตกง่ายๆเหมือนโทรศัพท์ไร้ขอบตัวอื่นๆ เช่น Mi Mix ที่แตกง่ายมากๆครับ เพราะผมเคยทำ Mi Mix ตกไปทีนึง ไม่สูง และพื้นไม้ ไม่แข็งมาก ก็จอแตกทันทีครับ ทั้งๆที่ใส่เคสหนังไว้แล้วด้วยแท้ๆ (น้ำตาไหล)
มาเริ่ม unbox กันเลยครับ
กล่องเป็นแบบเรียบๆ เป็นกระดาษแข็งสีดำด้าน โดยรูปที่เป็นหน้าจอจะใช้สีดำแบบพิเศษเพื่อให้เห็นความแตกต่างกับสีดำส่วนอื่น
ด้านหลังบอกยี่ห้อและรุ่น รวมไปถึงรายละเอียดของโทรศัพท์เครื่องนี้
ด้านข้างของกล่อง มี Logo บอกยี่ห้อไว้ (ที่น้อยคนจะรู้ว่ามันคือ Essential!)
กล่องใช้เปิดจากข้างๆ
ตรงกลางมีที่ดึงเพื่อเอาที่เก็บเข็มจิ้มซิมออกมา ที่เป็นโลโก้ของ Essential เค้าเลย
สาย USB-C ที่แถมมา ดูดีและน่าจะทนทาน เป็นสายถักอย่างสวยงาม
เนื่องจากไม่มีรูหูฟัง 3.5 เลยมีตัวแปลงจาก USB-C เป็นช่อง 3.5 แถมมาด้วย
ที่ชาร์จแบบ Quick Charge 27W, 5V = 3A หรือ 9V = 3A
เครื่องด้านหน้า
เครื่องด้านหลัง เป็นเซรามิค เงางาม
ด้านข้างเครื่องทางซ้าย
ด้านบนเครื่อง เรียบร้อย ไม่มีอะไรให้รกสายตา (ยกเว้นแถบเสาอากาศ)
ด้านข้างเครื่องทางขวา มีปุ่มเปิดปิด (ปุ่มเล็ก) และปุ่มเพิ่มเสียง ลดเสียง
ด้านล่างของเครื่อง มีช่องลำโพง ช่อง USB-C และช่องใส่ซิม
ถาดใส่ซิม ได้ 1 ซิม และไม่สามารถเพิ่ม Memory Card ได้
มีรูไมค์ตัดเสียงอยู่ติดกับช่องเสียบซิม แล้วขนาดรูเท่ากันเลย อย่าเผลอเสียบผิดรูนะครับ ผมเกือบเสียบผิดรูไปหลายครั้งล่ะ
หน้าจอไร้ขอบ แต่ยังมีขอบด้านล่างนิดนึง ส่วนด้านบนมีเว้นรูสำหรับกล้องหน้าไว้
เทียบขนาดกับ Mix Mix 2 จะเห็นว่า Essential มีขนาดเล็กกว่า จับถนัดมือกว่า Mix 2 แต่ก็จอเล็กกว่า
เทียบความหนาของขอบจอ จะเห็นว่า Essential ทำได้ไร้ขอบมากกว่า ส่วน Mix 2 ขอบหนากว่า แต่ว่าไม่มีช่องเว้นสำหรับกล้องหน้า สวยกันคนละแบบ และทั้งคู่มีลำโพงสำหรับคุยโทรศัพท์ ทำให้ไม่มีปัญหาในการคุยโทรศัพท์แบบ Mi Mix ตัวแรก ที่ไม่มีลำโพง แต่ใช้การสั่นสะเทือนเพื่อสร้างเสียง
ทีนี้มาดูกล่องของกล้อง 360 องศาบ้าง อันนี้เป็นด้านหลังกล่อง
เปิดกล่องออกมา จะเจอกล้องวางอยู่ มีแค่นี้เลยจริงๆครับ
จะเห็นว่ากล้องมีขั้วอยู่ 2 ขั้ว เพื่อเอาไว้ประกบกับโทรศัพท์
ขั้วของโทรศัพท์ ที่พร้อมประกบเข้ากับตัวกล้อง
เวลาประกบเข้าไป ใช้แม่เหล็กในการยึด ติดได้แน่นดีครับ ไม่หลุดง่ายๆ แล้วพอประกบเข้าไป มันจะเข้ากล้องโหมด 360 องศาโดยอัตโนมัติครับ
จบล่ะครับ อ่ออ แต่ถึงจะเป็นแค่การ Unbox แต่ก็จะขอสรุปคร่าวๆจากที่ลองใช้มานะครับ
1. ความเร็ว – มันตอบสนองการใช้งานได้เร็ว เพราะมันเป็น Snapdragon 835 ถ้าไม่เร็วก็คงไม่ได้ล่ะครับ แต่ว่าไม่ได้รู้สึกลื่นปรูดปร้าดแบบ Snapdragon 835 ตัวอื่นๆ แล้วเวลาเล่นเกมส์อย่าง ROV ก็มี Framerate ตกกว่า 30 ให้เห็นบ้าง ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นกับเครื่องที่ใช้ชิปเซ็ทตัวนี้ แต่คาดว่าน่าจะมี update แก้ปัญหาได้ในอนาคต
2. ความสวยงาม – อันนี้กินขาด ถือไปไหนถ้ามีคนเห็นจะต้องมีเหลียวหลังมามองซ้ำ (หรือจะนึกว่า iPhone X)
3. จับถนัดมือมาก ขนาดพอดีมือ ถึงจะมีแอบลื่นบ้างตอนพิมพ์มือเดียว แต่เทียบกับจอขนาดนี้ ถือว่าตัวนี้ถนัดสุด
4. เสียงคุยโทรศัพท์ – ก็ตุยได้ในระดับที่ดี แต่ก็ไม่ได้ชัดมาก แล้วถ้าเทียบกับ Mix 2 ซึ่งรอบนี้แก้ปัญหาเรื่องนี้มาดีมาก เพราะ Mix 2 กลายเป็นโทรศัพท์ที่เสียงคุยโทรศัพท์ดังฟังชัดที่สุดตัวนึงในตลาดตอนนี้เลย
5. กล้อง – ถือว่าดีในระดับพอใช้งานได้ ถ้าแสงดีก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าแสงน้อยก็แย่ลงมาพอสมควร และกดถ่ายรูป กว่าจะได้รูปช้ากว่าที่ควรจะเป็นไปเยอะ แต่คาดว่าน่าจะมี update เพื่อแก้ไขปัญหานี้ในอนาคต
เป็นยังไงกันบ้าง กับโทรศัพท์อินดี้ สวยงาม ขอบบางตัวนี้ คิดยังไงคอมเม้นท์ที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
อ่านแล้วรู้สึกว่ารอ Mi Mix 2 ศูนย์ไทยในอีก 2-3 เดือนดีกว่า XD
มันไม่รู้สึกว้าวจนอยากเอาตังที่มีไปซื้ออ่ะ ถามว่าสวยไหมก็สวยอ่ะ
แค่เห็นว่าใส่ได้ซิมเดียว เพิ่มเมมไม่ได้ ก็ไม่ผ่านแล้ว
เรียบหรูดูดีมีชาติตระกูลมาก
คู่นี้มีดีแค่ความงาม
ความแหว่งของจอนั้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ไปดู ifixit หมดสิทธิ์ซ่อม
รุ่นนี่ห้ามเสียเลย
เจ๊งงงง ใส่แมมไม่ได้ เพื่อออ ให้เลิกผลิตแมมก่อนนดีมัีย แล้วค่อยทำแบบนี้ ยังไงแมม ก็ส๋าคัญระดับชาติ สําหรับผม จะถูกจะแพง ขาดไฟแฟลช กับใส่แมม ไม่ผ่านนนนนนนนนนนนนน
เรื่องเม็มนี่ก็นะ อีกหน่อยคงไม่รองรับกันแล้ว เริ่มตัดไปก่อนในรุ่นเรือธงแล้วใส่ความจำภายในมาให้เยอะๆความเร็วสูงๆแถมพื้นที่จัดเก็บบนก้อนเมฆแทน
ข้อดีของการตัดเม็มทิ้งคือได้ความเร็ว เสถียร และปลอดภัย เครื่องหายทีโจรเอาไปเม็มไปดูไม่ได้
เห็นด้วยกับคุณ GyMfukU โทรศัพท์ที่ผมใช้ ผมซื้อรุ่น 128 มาใช้ เก็บอะไรต่อมิอะไรยังไม่ถึง 40% รู้งี้ซื้อรุ่น 64 ยังดีซะกว่า ปล. essential งามมากๆ