Unity เป็นเอนจินสร้างเกมที่หลาย ๆ นักพัฒนาเกมอินดี้ รวมถึงเกมดัง ๆ อย่าง Genshin Impact, Pokemon Go และ Amoung Us เลือกใช้ ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ เป็นเพราะค่าใช้งานเอนจินค่อนข้างถูก และสำหรับนักพัฒนาเกมเจ้าเล็ก ๆ สามารถใช้งานได้ฟรี แต่อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน Unity ได้ประกาศเปลี่ยนนโยบายการใช้งานใหม่ ที่ทำให้วงการเกมถึงกับเดือดเป็นไฟ เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร เราจะมาสรุปสั้น ๆ ให้ได้อ่านกัน
จุดเริ่มต้นของ Unity Runtime Fee
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2023 Unity ได้ประกาศนโยบายในการใช้งานใหม่ที่เรียกว่า Unity Runtime Fee โดยทาง Unity จะทำการฝังโค้ดลงไปในเกมที่ใช้เอนจินตัวดังกล่าวในการพัฒนา ซึ่งตัวโค้ดจะคอยเก็บสถิติการติดตั้งของผู้เล่นเกม หากมีการติดตั้งเกินกว่า 200,000 ครั้ง ทาง Unity จะเริ่มเก็บเงินนักพัฒนาครั้งละ 0.20 เหรียญสหรัฐฯ (ราว ๆ 7 บาท) ต่อ 1 การติดตั้ง หรือจะเริ่มเก็บหากทำรายได้ได้เกิน 200,000 เหรียญฯ ขึ้นไปในช่วงระยะเวลา 12 เดือน โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 หรือปีหน้านั่นเอง
แน่นอนว่าในเมื่อเรื่องนี้ถึงหูนักพัฒนาเกมอินดี้เจ้าเล็ก ๆ ก็ต่างไม่พอใจ และตั้งข้อสงสัยในตัวกฎที่มีความครุมเครือ เช่นยอดติดตั้ง 200,000 ครั้งที่ว่านี้ นับแค่เฉพาะการติดตั้งครั้งแรกของ User หรือคิดรวมการติดตั้งใหม่ (Re-Install) เข้าไปด้วย และผู้ใช้งานที่ติดตั้งผ่านบริการจ่ายรายเดือน เล่นเกมไม่อั้นอย่าง Xbox Game Pass จะโดนคิดรวมไปด้วยรึเปล่า
เหล่านักพัฒนาเกมอินดี้ต่อต้านอย่างรุนแรง
ถ้ามองในมุมของนักพัฒนาเกมตัวเล็ก ๆ โดยเฉพาะเกมในแบบ Freemium ที่ปล่อยให้โหลดเกมฟรี แต่เน้นเก็บรายได้จากการซื้อไอเทมในเกม หรือ In-App Purchase ต่าง ๆ นโยบายใหม่นี้ ถือว่าไม่แฟร์ต่อพวกเขาเลย ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพชัด ๆ สมมุติว่าเราสร้างเกมแบบ Freemium ขึ้นมา 1 เกม และตัวเกมเพิ่งสร้างรายได้จากระบบ In-App Purchase ประมาณ 200,000 เหรียญฯ จากผู้เล่นที่ติดตั้งตัวเกมรวม 3 ล้านครั้ง (ซึ่งเกินจากที่นโยบายกำหนดไว้)
กลายเป็นว่าหลังมีการบังคับใช้กฎที่ว่านี้ ทางผู้พัฒนาจะต้องจ่ายค่า License ให้กับ Unity ทั้งหมด 2.8 ล้านการติดตั้ง (0.20USD x 2.8M = 560,000 เหรียญฯ) ดังนั้นจากที่จะได้กำไร จู่ ๆ นักพัฒนาต้องเป็นหนี้ถึง 360,000 เหรียญเลยทีเดียว และถ้าหากยอดติดตั้งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รายได้จาก In-App Purchase ก็ไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้แน่ ๆ
หลังจากเรื่องเริ่มเป็นที่พูดถึงได้ไม่นาน Unity ก็ได้ออกมาชี้แจงในวันที่ 14 กันยายน ว่ายอดการติดตั้งที่ว่านี้ จะนับเฉพาะการติดตั้งเพียงครั้งแรกเท่านั้น และการติดตั้งผ่านช่องทางที่ไม่พึงประสงค์ เช่น Botnet หรือการติดตั้งตัวเกมเวอร์ชั่นทดลอง, การเล่นผ่านเว็บ หรือติดตั้งผ่านบริการสตรีมมิ่งเกม และการติดตั้งที่เกี่ยวกับการกุศล จะไม่ถูกนับรวมในยอด 200,000 ครั้งที่ว่านี้
แต่อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของ Unity ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งความไม่พอใจของเหล่านักพัฒนาเกมอินดี้ โดยผู้พัฒนาเกมเอาชีวิตรอดชื่อดังที่กำลังทำภาคต่ออย่าง Rust 2 ก็ประกาศว่าจะไม่ใช้ Unity ในการพัฒนาเกม และอีกหลาย ๆ บริษัทก็เตรียมหยุดขายเกมที่พัฒนาโดยใช้ Unity ทั้งหมด และล่าสุดในวันที่ 15 และ 16 กันยายนที่ผ่านมา ทาง Unity ต้องสั่งปิดออฟฟิศ 2 แห่งในสหรัฐฯ เพราะโดนส่งจดหมายขู่ฆ่าจากคนในบริษัทตัวเองด้วย
ล่าสุด Unity ยอมยกธงขาวแล้ว
We have heard you. We apologize for the confusion and angst the runtime fee policy we announced on Tuesday caused. We are listening, talking to our team members, community, customers, and partners, and will be making changes to the policy. We will share an update in a couple of…
— Unity (@unity) September 17, 2023
และล่าสุดเมื่อเช้าวันนี้ (18 กันยายน 2023) ทาง Unity ได้ออกมาประกาศขอโทษเหล่านักพัฒนา ยอมยกธงขาวกลับไปพิจารณาและเปลี่ยนแปลงนโยบาย Unity Runtime Fee ใหม่อีกครั้ง โดยจะมีการออกนโยบายฉบับปรับปรุงในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งก็น่าจะช่วยทุเลากระแสด้านลบไปได้บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ข่าวในครั้งนี้ถือว่าส่งผลต่อชื่อเสียง Unity ไปมากพอสมควร
- Unity จับมือ Microsoft ออกเอนจิ้นเกมรองรับ Windows on Arm ปูทางให้เกิดเกมพีซีแบบ Arm Native ในอนาคต
- EA ยืนยัน The Sims 5 จะเป็น “เกมแบบเล่นฟรี” พร้อมให้จอย Party กับเพื่อนได้
- Payday 3 เกมแนวปล้นสุดมันส์ เปิดให้ทุกคนทดลองเล่นฟรีแบบ Open Beta ตั้งแต่วันที่ 8-11 ก.ย. นี้
ที่มา: IGN
Comment