จำชื่อโทรศัพท์ยี่ห้อ Vertu ได้ไหม? ถ้าใครยังจำชื่อของ Vertu ได้ คงจะทราบดีว่าป็นแบรนด์โทรศัพท์สุดหรูที่ทาง Nokia ปั้นขึ้นมากับมือ โดยขายเฉพาะคนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ วัสดุที่ใช้ทำก็จะเป็นหนังแท้ พลอยประดับจำนวนมาก และทำแฮนด์เมดขึ้นมาแบบชิ้นต่อชิ้น ทำทุกเครื่องด้วยความใส่ใจระดับสูงสุดในโรงงานที่สหราชอาณาจักร และล่าสุด Vertu นั้นออกโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android แล้ว ในชื่อรุ่นว่า Vertu Ti

เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2012 ที่ผ่านมา Vertu ถูกขายออกไป และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Nokia แล้ว หลังจากนั้นก็มีข่าวมาตลอดว่า Vertu จะเลิกใช้ Symbian และใช้งาน Android ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นความจริงจนได้ โดยมาพร้อมกับสโลแกนว่า “Handmade in England. Powered by Android”

โทรศัพท์ Vertu Ti จะใช้งาน Android 4.0 พร้อมใช้ UI ของตัวเองที่เรียกว่า Vertu UI โดยเฉพาะ และมีราคาราวๆ €7,900 หรือราวๆ $11,000 (แปลงเป็นเงินไทยคร่าวๆ ก็คือ 330,000 บาท) สมเป็นโทรศัพท์ไฮโซวเช่นเคย

สำหรับตัวเครื่องของ Vertu Ti นั้นจะมีหน้าจอ 3.7 นิ้ว ที่ไม่มีวันเป็นรอย เนื่องจากใช้กระจกแซฟไฟร์มาทำ (ถ้าอยากให้เป็นรอยคงต้องเอาเพชรมาขูดเท่านั้น) ส่วนตัวเครื่องก็เป็น Titanium grade 5 ที่มีความแข็งแรง แต่น้ำหนักเบา สำหรับสเปคเครื่องนั้นมีดังนี้

  • CPU Snapdragon Dual-Core 1.7GHz
  • RAM 1GB
  • Camera 8 Megapixel สามารถถ่ายวิดิโอ Full HD
  • Front Camera 1.3 Megapixel
  • Internal Memory 64GB
  • ใช้ระบบเสียงของ Bang & Olufsen

CEO คนปัจจุบันของ Vertu เผยกับทาง BBC ว่าเหตุผลที่ย้ายมาใช้ Android แทนที่จะเป็น Windows Phone เหมือน Nokia ก็เพราะว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของ Windows Phone นั้นยังน้อยอยู่นั่นเอง สู้กับ Android ไม่ได้เลย ที่ครองตลาดไปแล้วไม่ต่ำกว่า 60% ของทั้งโลก

บางทีเหตุผลอีกประการหนึ่งคงไม่พ้นการที่ Microsoft นั้นไม่ยอมให้ทำการใส่ UI ส่วนตัวลงไปยัง Windows Phone ไม่ว่าจะค่ายไหนก็ตาม ทำให้แบรนด์ไฮโซที่ต้องการมีเอกลักษณ์และจุดเด่นอย่าง Vertu ไม่สามารถโชว์ความหรูหราบนตัวระบบปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ Vertu นั้นอยู่ในกลุ่มคนที่มีเงินเหลือเฟือสำหรับการซื้อโทรศัพท์ โดนทั้งโลกในตอนนี้มี Vertu อยู่ราวๆ 326,000 เครื่องบนโลกเท่านั้น นับตั้งแต่ทำตลาดมาร่วม 10 ปี และทาง BBC เผยข้อมูลว่าตลาดใหญ่ของ Vertu อยู่ในประเทศจีน

สำหรับโทรศัพท์ Vertu มาพร้อมกับบริการ Concierge ที่เปรียบเสมือนเลขาส่วนตัว แต่แตกต่างจาก Siri ของ Apple ก็ตรงที่ว่าอันนี้เป็นคนจริงๆ มารับใช้ผ่านทางโทรศัพท์เลยนั่นเอง ก็ถือว่าบริการตรงนี้สมน้ำสมเนื้อกับราคาตัวเครื่องโทรศัพท์เลยนั่นเอง

ที่มา – Tech Crunch