เมื่อคืนในงาน WWDC 2014 ของทาง Apple ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องของการอัพเดทซอฟท์แวร์นั่นก็คือ Mac OS X Yosemite และ iOS 8 ที่เป็นไปตามข่าวลือก่อนหน้า โดยปราศจากเงาของอุปกรณ์ใหม่ๆอย่าง iPhone 6 หรือ Wearable Device ที่หลายๆคนรอคอยกัน และสำหรับการอัพเดททั้งสองนี้ ผมจะไม่ขอเจาะลึกในส่วนของ Mac OS มากนัก แต่จะขอไปพูดถึง iOS 8 ที่เกี่ยวข้องกับด้านมือถือมากกว่า ซึ่งตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์รวมถึงราคาหุ้นที่ตกลงก็สะท้อนมาได้ถึงความผิดหวังของใครหลายๆคนได้เป็นอย่างดี ด้วยสาเหตุที่ว่า iOS 8 ยังคงไม่มีสัญญาณการปฎิวัติวงการอะไรออกมา และดูเหมือนว่ายังเป็นเพียงการพัฒนาตัวเองตาม Android ขึ้นมาเท่านั้น 

ก่อนที่จะไปถึง iOS 8 ผมขอสรุปสั้นๆเกี่ยวกับ OS X Yosemite ก่อนแล้วกัน ซึ่งเท่าที่พยายามจับในความการเปลี่ยนแปลงหลักๆจะเห็นอยู่ถึง 5 อย่าง คือ

  1. ทำงานร่วมกับ iOS ได้อย่างสมบูรณ์และลงตัวมากขึ้น

  2. Spotlight กลายเป็นหัวใจของเครื่อง เอะอะๆวิ่งหามันก่อนได้เลย

  3. ปรับปรุงดีไซน์และหน้าตาหลายๆส่วนให้เป็นไปในทางเดียวกับ iOS

  4. Notification Center ที่ฉลาดกว่าเดิม

  5. เปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น Weed… เอ้ย!! Yosemite ต่างหาก

โดยส่วนที่เป็น Highlight ของ Yosemite น่าจะมีเพียงข้อแรก ซึ่งน่าจะรวบเอาไปพูดถึงใน iOS 8 ทีเดียวไปเลยได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไปดูกันดีกว่าว่า มีอะไรใหม่บ้างใน iOS 8

Photos – แบคอัพรูป/ปรับแต่งภาพ/การจัดการ

*iCloud Photo Library : บริการจัดเก็บภาพเอาไว้บน Cloud เพื่อการสำรองข้อมูลภาพของเราให้ปลอดภัยไม่ต้องกลัวหาย สามารถเข้าถึงได้จากหลายอุปกรณ์พร้อมกันทุกที่ทุกเวลา และจุดที่ทำให้มันน่าสนใจที่สุดคงไม่พ้นความสามารถที่จะจัดเก็บเอาภาพความละเอียดสูงขึ้นไปไว้บน Cloud เหลือเพียงแต่ภาพความละเอียดต่ำเอาไว้ภายในเครื่อง ซึ่งเพียงพอกับการเปิดดูทั่วไป ทำให้ผู้ใช้ประหยัดพื้นที่หน่วยความจำลงได้มากนั่นเอง

 


*Smart Composition และ Smart Adjustments : ไม่ต้องอธิบายอะไรมากกับฟีเจอร์นี้ มันก็คือเครื่องมือตกแต่งภาพนั่นแหละ แต่ว่าด้วยฝีมือของ Apple พวกเค้าทำให้การตกแต่งรูปดูง่ายและภาพออกมาดูสวยได้อย่างน่าประทับใจ

 

Search : ตัวแกลอรีภาพมันจะมีความฉลาดมากขึ้นในการค้นหาภาพที่เราต้องการ โดยที่จะเพิ่มความสามารถในการค้นหาภาพจากเวลา และสถานที่ที่เราถ่ายมาได้ ไม่ต้องมาเสียเวลาลากถูจนหน้าจอเลอะเทอะอีกต่อไป

 

Time-lapse : โหมดถ่ายภาพหน่วงเวลา โดยถ่ายเราถ่ายวิดีโอโหมดนี้จะได้ภาพแบบเวลาเรากดเพิ่มความเร็วภาพ 2X 4X 8X เวลาดูหนังอะไรอย่างงั้นแหละ แต่ทาง Apple ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรตรงนี้มากมายนัก

 

บทวิพากษ์

  • ชอบความสามารถของ iCloud Photo Library ที่จะช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บรูปบน iPhone หรือว่า iPad นะ แต่ว่าข้อเสียหลักๆเลยคือราคาของ iCloud ที่แพงหูฉีก จ่ายเดือนละเกือบ 700 บาทเพื่อพื้นที่เพิ่มขึ้น 10GB…เก็บเงินเอาไว้ซื้อเครื่องที่ความจุสูงขึ้นไปเลยอาจจะคุ้มกว่า (ไปดูเปรียบเทียบราคา Cloud Storage แล้วจะเห็นชัด)

  • ชอบความสามารถของ iCloud Photo Library ที่จะช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บรูปบน iPhone หรือว่า iPad เพราะค่าเมมเพิ่มจากรุ่น 16GB –> 32GB –> 64GB มันช่างแพงเหลือเกิน

  • Apple ได้ทำการทุบตลาด Cloud Storage อีกครั้งด้วยการลดราคาพื้นที่ iCloud Drive 20GB เพียง $0.99 ต่อเดือน และ 200GB เพียง $3.99 ต่อเดือนเท่านั้น

  • ตัวปรับแต่งภาพของ iOS 8 นี่มันดูดีจริง เห็นแล้วว้าวเลย แนะนำลองไปดูเดโมใน Keynote ได้

Android แวะมาสะกิดบอก

  • อยากได้ iCloud Photo Library ไปลองใช้ Google+ ดูมั้ย? ฟีเจอร์นี้ไปเอาจาก Google+ มาเลยทีเดียว ได้การสำรองภาพเหมือนกันในราคาพื้นที่บน Cloud ที่ถูกกว่ามากๆๆๆๆๆ (แต่แอบเซ็งที่ Google+ ยังไม่สามารถทิ้งสำเนาความละเอียดต่ำบนเครื่องได้) *แก้ไข Google+ และ Photo Stream เกิดมาในปี 2011 พร้อมๆกัน ฉะนั้นไม่น่าจะเป็นใครลอกใครครับ

  • การสำรองภาพที่ความละเอียดไม่เกิน 3MP บน Google+ สามารถ Backup ได้ไม่อั้น Unlimited และไม่ต้องเสียเงินสักบาท

  • Search และ Filter บนแอนดรอยด์มีมาได้สักพักแล้วนะจ๊ะ เท่าที่เห็นก็ Sony กับ Samsung ทำได้แล้ว และทีสำคัญคือมันแบ่งประเภทภาพ เช่น ภาพคน ภาพวิว ภาพสัตว์ ได้ด้วยนะเออ เก่งกว่าอีก

  • Time Lapse อันนี้ก็ทำได้มาตั้งแต่ขึ้น Jelly Bean แล้วจ้า

iMessage – ส่งข้อความเสียง/วิดีโอ/ตำแหน่ง/ตั้งกลุ่ม

เรื่องฟีเจอร์อันนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะหลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกันอยู่แล้วแต่ว่าจุดเด่นที่ทำให้ iMessage น่าใช้มากกว่าแอพอื่นๆคงไม่พ้นการดีไซน์ที่ทำออกมาได้ดูแล้วใช้งานง่ายและตอบโจทย์ เช่น

เมื่อเราส่งข้อความเสียง เราสามารถกดค้างที่ไมค์ แล้วก็ปัดขึ้นด้านบนเพื่อยืนยันการส่ง หรือปัดซ้ายเพื่อยกเลิกได้ และเมื่อได้รับข้อความ เราก็แค่ยก iPhone ขึ้นมาแนบหูก็ฟังได้ทันที สะดวกมากมาย

เมื่อทำการแชร์ตำแหน่ง ก็สามารถตั้งเวลาที่ต้องการแชร์ได้ทันทีไม่ต้องมาคอยถามว่า “อยู่ไหนแล้ว” อีกต่อไป


บทวิพากษ์

  • UI/UX ทำออกมาได้น่าใช้มาก

  • แต่ทำไมต้องจำกัดให้ใช้ได้แต่ iOS…ไม่กะจะให้คุยกับคนที่ไม่ใช้เลยหรือไง

Whatsapp แวะมาสะกิดบอก

 

Design – สั่งงานผ่านการแจ้งเตือน/ปรับปรุง Mail

Interactive Notification : เตือนมาก็ตอบรับกับการแจ้งเตือนได้ทันที เช่น จะส่งข้อความกลับ รับนัดหมาย หรือกดไลค์ภาพของเพื่อน

Mail : ปรับปรุงให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น สามารถปัดเมล์ไปทางซ้ายหรือขวาเพื่อสั่งงานได้ รวมถึงดูเนื้อหาในเมล์ว่าเป็นเบอร์โทร หรือนัดหมายรึเปล่า แล้วจะช่วยจัดเก็บให้เราได้อย่างง่ายดาย

เพิ่มเติม : มีรายชื่อคนโปรดในหน้า Multitasking และความสามารถของ Safari บน Mac จะมีบน iPad

บทวิพากษ์

Android แวะมาสะกิดบอก

  • #จ่ะ #คิดว่าดีก็ทำต่อไป


QuickType คีย์บอร์ดเดาคำอัจฉริยะ

ไม่ต้องมาคอยนั่งพิมพ์เองอีกต่อไปเมื่อคีย์บอร์ดจะเดาคำที่เราจะพิมพ์ต่อไปให้อัตโนมัติ โดยมันจะรู้รูปแบบการพิมพ์ของเรา รู้ว่าเนื้อหาที่กำลังคุย และรู้ว่าว่าเรากำลังคุยกับใคร ซึ่งทาง Apple ดูค่อนข้างจะภูมิใจนำเสนอเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้มากว่ามันเจ๋งจริงๆ ซึ่งสำหรับชาวไทยก็ได้เฮเช่นกันเพราะคีย์บอร์ดนี้รองรับภาษาไทยด้วยจ้า

รายชื่อประเทศที่รองรับการใช้งาน QuickType

ปล. iOS 8 เปิดให้ดาวน์โหลดคีย์บอร์ดเสริมได้(สักที)

 

บทวิพากษ์

  • ทุกคนรู้กิตติศัพท์ของ iOS Keyboard ดี คงต้องรอดูต่อไปว่ามันจะเจ๋งตามคำคุยหรือเปล่า

  • #damnautocorrection

  • แล้วที่มันรู้ไปทุกอย่าง ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวจะมีมั้ยเนี่ย?

Android แวะมาสะกิดบอก

  • สนใจ Swype, ManMan, T-Swipe, หรือ Google Keyboard มั้ยครัช พูดภาษาไทยแล้วมันพิมพ์เองให้เลยได้นะครัช


Family Sharing แชร์ๆๆให้คนในครอบครัว

ถือว่าเป็นหนึ่งใน Highlight ของ iOS 8 เลยก็ว่าได้กับ Family Sharing ด้วยความสามารถที่จะทำให้คนในบ้านสามารถแชร์เนื้อหาที่ได้ทำการซื้อมาจาก App Store ให้แก่คนในครอบครัวได้สูงสุดถึงหกคน โดยที่ทุกคนจะต้องมีการใช้บัตรเครดิตใบเดียวกันในการชำระเงิน และที่สำคัญคือพ่อแม่สามารถเลือกให้ลูกทำการกดขออนุญาตก่อนสั่งซื้อทุกครั้งได้ด้วย!!

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของการแชร์ข้อมูลอื่นๆอีก เช่น ภาพ นัดหมาย หรือระบุตำแหน่งเครื่องได้ด้วย

บทวิพากษ์

  • ชอบฟีเจอร์ที่ขออนุญาตซื้อจากพ่อแม่ น่าจะช่วยแก้ปัญหาให้หลายๆบ้านได้เลย

  • แต่อยากแชร์หนังสือ เพลง หนัง แอพ รายการทีวี กับพ่อแม่กันมั้ยเอ่ย??

Android แวะมาสะกิดบอก

  • บน Android สร้าง Account กลางมาอันนึงก็แชร์ทุกสิ่งอย่างได้เหมือนกัน

  • ถ้าต้องการกันไม่ให้คนอื่นซื้อได้ก็แค่ใส่พาสเวิร์ดเท่านั้น

  • แชร์ภาพลง Gallery กลาง ลองใช้ของ Facebook ดูดิ เวิร์คอยู่นะ

  • แชร์ปฎิทิน Google ก็มีให้ใช้ แถมอย่างเนียนเลยล่ะ

iCloudDrive แชร์ไฟล์ข้ามเครื่อง

หมดปัญหาการโอนย้ายไฟล์ข้ามเครื่องข้ามแพลตฟอร์ม เพียงจับโยนไฟล์ลงใน iCloudDrive เท่านี้ข้อมูลทั้งหมดก็จะสามารถเข้าถึงได้จากทุกเครื่องที่ใช้บัญชีเดียวกันทันที ซึ่ง iCloudDrive สามารถใช้บน Windows ก็ได้นะเออ และเปิดให้แอพอื่นๆสามารถเข้าใช้ iCloudDrive นี้ได้อีกด้วยจ้า

บทวิพากษ์

  • มันคือ Cloud Storage ในรูปแบบของ Apple แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำการแชร์ให้คนอื่นๆได้สะดวกเหมือนกันบริการอื่นๆหรือเปล่า

  • รอดูว่าไฟล์ที่จะยอมให้แชร์ขึ้น iCloudDrive จะยอมให้ไฟล์ประเภทใดบ้าง ถ้าจำกัดแค่ไฟล์เอกสาร รูปภาพ และ PDFs ก็บายยยยย  เห็นว่ายอมทุกประเภททุกไฟล์เลย

Android แวะมาสะกิดบอก

  • Google Drive, Dropbox มั้ยครัชชชช ถูกกว่าและใช้งานได้กับทุกเครื่องทุกยี่ห้อทุกOS นะ

Health ศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพของเรา

แอพใหม่ที่จะโผล่เข้ามาใน iOS 8 ซึ่งจะทำการเก็บรวบรวมข้อมูลสุขภาพของเราเอาไว้ โดยที่อุปกรณ์ด้าน Fitness ต่างๆ ต่อไปจะทำมารองรับแอพนี้ โดยตัวมันจะมีการนำข้อมูลมาประมวลและแสดงผลได้อย่างสวยงาม และเราสามารถใส่ข้อมูลทางการแพทย์ของเราลงไปเพิ่มเติมด้วยก็ได้ ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฎิวัติวงการสุขภาพเลยทีเดียว

บทวิพากษ์

  • จากที่วงการ Wearable Devices และ Fitness ต่างฝ่ายต่างพัฒนาของตัวเองแบบไม่ค่อยจะคุยกัน เมื่อ Apple ลงมาทุบโต๊ะแบบนี้ก็ถือเป็นการดีที่จะทำให้แนวทางมันชัดเจนขึ้นได้มาก

Android แวะมาสะกิดบอก

  • ขอบคุณที่ทำมาให้สักที เพลียกับความวุ่นวายตอนนี้มาก


Continuity – เชื่อมต่อไร้รอยสัมผัส

แล้วภาพของการที่อุปกรณ์ Apple ทั้งหมดทำงานร่วมกันได้ก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นใน iOS 8 และ Mac OS Yosemite ด้วยความสามารถดังนี้

*Handoff – มือถือห่างกาย แต่ใช้ Mac เชื่อมต่อเข้าไปทำทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับส่งเมล์ อ่านข้อความ ดูแจ้งเตือน หรือแม้แต่จะใช้โทรศัพท์โทรเข้า-ออก

เราสามารถใช้ iPad หรือว่า Mac รับ-ส่งข้อความได้แล้ว ด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับมือถือ และใช้เบอร์ในเครื่องทำการรับ-ส่งแทน จากที่ก่อนหน้านี้ iPad และ Mac ทำได้เพียงใช้ iMessage เท่านั้น

iPad ไม่มี WiFi ให้ใช้? เดี๋ยวมันจะต่อเข้า iPhone แล้วใช้เน็ตได้เลยแบบอัตโนมัติ และที่เจ๋งก็คือจะหยุดการเชื่อมต่อเมื่อไม่มีการใช้งาน เพื่อการประหยัดแบตอีกด้วย

บทวิพากษ์

  • อันนี้เป็นส่วนที่ฟังดูดีที่สุดในบรรดาฟีเจอร์ทั้งหมดที่เปิดตัวมาละ

Android แวะมาสะกิดบอก

  • Desktop Notification เป็นแอพที่นำเอาแจ้งเตือนทุกอย่างบน Android ขึ้นไปแสดงบน Desktop ได้นะ เจ๋งดี แต่ไม่สามารถรับสาย โทรเข้าออกได้

  • #Samsungร้องไห้ทำไม

Spotlight รวมทุกการค้นหาไว้เพียงหนึ่งเดียว

อยากจะค้นหาอะไร ไม่ต้องวุ่นวาย แค่กดเข้า Spotlight พิมพ์ปุ๊บมาปั๊บทันที ไม่ว่าจะเป็น Wikipedia, ข่าว, สถานที่, iTune, AppStore, ฯลฯ

บทวิพากษ์

  • เพิ่มความสามารถของ Spotlight เข้าไปจากเดิมที่หาได้แต่บนเครื่อง ก็ดูดี แต่ว่ามันก็ไม่ได้ใหม่อะไร

Android แวะมาสะกิดบอก

  • รู้จัก Google Now มั้ยครับพี่ มันค้นได้ทุกสิ่งอย่าง ทั้งในเครื่องและนอกเครื่องมาตั้งนานแล้ว จนตอนนี้มันหาบางอย่างมาให้ก่อนที่เราจะอยากได้ซะด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนไฟล์ทบิน ตรวจสอบสภาพจราจรของสถานที่เราน่าจะไป หรือแม้แต่รอบหนังที่ฉายในห้างที่เรากำลังเดินอยู่มัน(สอด)รู้ดีมากๆเลยล่ะ




Developers – เพิ่มขีดจำกัดให้แก่นักพัฒนา

หลังจากที่ iOS โดนตราหน้าว่าเป็นระบบที่ปิดกันการพัฒนามาโดยตลอด แต่ในที่สุด iOS 8 ก็มาปลอดล็อคส่วนนี้ไปได้ค่อนข้างเยอะ ทั้งเปิดให้สามารถแชร์รูป หรือแชร์ข้อมูลเข้าไปยังแอพอื่นได้ รวมถึงการพัฒนา Widget สำหรับหน้า Notification

นอกจากนี้ยังมีการเปิด API มาให้ใช้งาน TouchID, CloudKit, HealthKit, PhotoKit, CameraAPI ที่จะทำให้พัฒนาแอพให้เข้าถึงส่วนต่างๆของอุปกรณ์ได้มากขึ้น และที่น่าจับตามองที่สุดน่าจะเป็น HomeKit ที่จะเป็นตัวรุกตลาดอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน มาบี้สู้กับทาง Google อย่างสนุกสนานแน่นอน ซึ่งต่อไปเวลาเราจะซื้อหลอดไฟที่อาจจอต้องมองหากล่องที่มีสัญลักษณ์เขียนว่า iOS Compatible ก็เป็นได้

สำหรับ iOS 8 อุปกรณ์หลังจาก iPhone 4s ได้ไปต่อนะ ส่วน iPhone 4 ใช้กันมาก็นานแล้ว ถึงเวลาปลดระวางรอซื้อเครื่องใหม่ได้แล้วล่ะนะๆๆ

 

และทั้งหมดนี้ก็เป็นทั้งหมดของการเปิดตัว iOS 8 ที่ได้มาสรุปให้ทุกๆคนฟังกัน ซึ่งจากที่ลองพินิจพิเคราะห์มาทั้งหมดแล้ว ภาพนี้ที่ท่าน @Octopatr ได้ทวิตไป น่าจะเป็นบทสรุปได้ดีที่สุดสำหรับ iOS 8 นี้ครับ


แต่อย่างไรก็ดี เรื่องการแลกเปลี่ยน และต่อยอดพัฒนามันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หากทั้งสองฝ่ายโอเค ซึ่งในกรณีนี้ Google และ Apple ก็ได้มีการเจราจาเรื่องสิทธิบัตรกันไปเรียบร้อย และเราน่าจะยินดีกับการที่ iOS ได้มีการพัฒนาส่วนที่ยังขาดอยู่ให้ใช้งานได้ดีขึ้น ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้ดูดี และใช้งานได้ง่ายกว่าหลายๆแบรนด์ที่ทำออกมาก่อน ท้ายที่สุดการที่ Google และ Apple เลิกทะเลาะและหันมาช่วยกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆก็น่าจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากกว่าที่สองฝ่ายจะคอยหาทางประหัตประหารกันจนนวัตกรรมต้องหยุดนิ่งไป

และเรื่องนึงที่ชาว Android ต้องยอมรับทางฝั่ง iOS ก็คือ แม้ว่า Android จะสามารถครองตลาดได้มากกว่า 80% ทั่วโลก แต่คนที่กำหนดทิศทางของเทคโนโลยีในหลายๆด้านก็ยังคงเป็น Apple อยู่ดี มาตรฐานไหนที่แม้ Android จะพยายามผลักดัน แต่ถ้า iOS ไม่เอาด้วย โอกาสสำเร็จก็จะลดลงอย่างมาก ซึ่งนี่ก็ถือเป็นจุดแข็งอย่างมากของทางฟาก Apple เลย

ยังไงก็จิกกัดกันขำๆสนุกๆพอนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วเราจะเถียงกันให้ตายเท่าไหร่ คนที่ Google Apple Samsung เค้าก็ไม่ได้มีเวลามานั่งรับรู้อะไร เครียดกันไปซะเปล่าๆ มาใช้งานมือถือในมือให้เต็มประสิทธิภาพ และสร้างงาน สร้างความสุข จากทุกๆนวัตกรรมที่มีกันดีกว่าครับ

สุขสันต์กับการใช้โทรศัพท์กันทุกท่านครับ

สวัสดี