สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน กลับมาเจอกันอีกแล้วสำหรับบทความรีวิวมือถือ รอบนี้ขอมาแนะนำ Xiaomi Redmi Note 3 มือถือคุณภาพพรีเมียมพร้อมสเปกสุดคุ้มจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับหนึ่งของประเทศจีน Xiaomi นั่นเอง โดยสำหรับเครื่องรีวิวนี้เป็นเครื่องของผมเอง (ขอบคุณ Droidsans สำหรับการสนับสนุนครั้งนี้) เรามาดูความน่าสนใจของมือถือรุ่นนี้กันดีกว่า

 

Xiaomi แบรนด์มือถือยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนที่หลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว โดยจุดเด่นของมือถือจาก Xiaomi คืองานออกแบบและสเปกต่อราคาที่แสนจะคุ้มค่าหากเทียบกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่อื่นๆอย่าง Samsung, Sony หรือ LG แต่ทว่าสำหรับประเทศไทยแล้ว Xiaomi ยังไม่มีการเข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง มีเพียงแต่ทาง Distributor ที่นำเครื่องบางรุ่นเข้ามาจำหน่ายเองเท่านั้น และ Redmi Note 3 เครื่องนี้ก็เป็นเครื่อง import จากประเทศจีน ไม่ใช่เครื่องที่มีจำหน่ายแบบเป็นทางการในประเทศไทยนะครับ

xiaomi-redmi-note-3-review-renders.jpg

 

สำหรับ Redmi Note 3 นั้นเป็นมือถือในสเปกระดับ Mid-range ที่มีงานออกแบบพรีเมียมแต่ขายในราคาเริ่มต้นเพียง 7,xxx บาทเท่านั้น เรียกว่าดูมุมไหนก็คุ้มเลยครับสำหรับรุ่นนี้ เรามาแกะกล่องดูของใน package กันดีกว่า

 

แกะกล่องซะก่อน

สำหรับกล่อง package ของ Redmi Note 3 นั้นเป็นกล่องกระดาษแข็งสีขาวธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ เปิดฝากล่องออกมาก็จะเห็นตัวเครื่อง Redmi Note 3 นอนรออยู่เลย อ้อ Redmi Note 3 มีอยู่ 3 สีด้วยกันคือ ขาว, ดำ และทอง สำหรับเครื่องของผมเป็นสีทองนะครับ

xiaomi-redmi-note-3-review-unbox01.jpg

 

อุปกรณ์ที่แถมมาให้ในกล่องก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ประกอบด้วย

  • ตัวเครื่อง Redmi Note 3

  • สาย USB

  • หัวชาร์จ Adapter ขนาด 5V 2A

  • เข็มจิ้มถาดซิม

  • คู่มือและใบรับประกัน

จะเห็นว่า Xiaomi ไม่ได้แถมหูฟัง smalltalk มาให้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของค่ายนี้ เพราะเค้าบอกว่า ทุกคนมีหูฟังที่ตัวเองชอบและใช้งานประจำอยู่แล้ว แต่เหตุผลอีกด้านก็คงจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตต่อเครื่องนั่นเอง

xiaomi-redmi-note-3-review-unbox02.jpg

 

สเปกของ Redmi Note 3

xiaomi-redmi-note-3-spec.jpg

มือถือรุ่นนี้จะแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย แตกต่างกันที่ RAM และ ROM คือ รุ่น 2GB/16GB และรุ่น 3GB/32GB โดยสเปกอย่างอื่นเหมือนกันหมด สำหรับเครื่องรีวิวนี้เป็นแบบ 2GB/16GB สเปกอื่นๆเป็นดังนี้

  • ชื่อและรหัสเครื่อง : Xiaomi Redmi Note 3

  • สัดส่วน : 150 x 76 x 8.7 มิลลิเมตร

  • น้ำหนัก : 164 กรัม

  • หน้าจอ : IPS LCD 5.5 นิ้ว ความละเอียด FullHD 1920×1080 พิกเซล

  • เครือข่ายที่รองรับ:

    • 4G : LTE band 1(2100), 3(1800), 7(2600), 38(2600), 39(1900), 40(2300), 41(2500)

    • 3G : WCDMA 850 / 900 / 1900 / 2100

    • 2G : GSM 850 / 900 / 1800 / 1900

  • SIM : 2 SIM แบบ Nano-SIM (Dual standby)

  • CPU : Mediatek MT6795 Helio X10

  • GPU : PowerVR G6200

  • RAM : 2GB / 3GB

  • หน่วยความจำภายใน : 16GB / 32GB ไม่รองรับ microSD

  • กล้องหน้า : 5 ล้านพิกเซล

  • กล้องหลัง : 13 ล้านพิกเซล พร้อมระบบโฟกัสแบบ PDAF และ Dual LED flash

  • แบตเตอรี่ : Li-PO 4000mAh (ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้)

  • OS : Android 5.0.2 Lollipop พร้อม MIUI 7

  • NFC : ไม่มี

  • OTG : มี

  • ไฟแจ้งเตือน : มี

  • เซ็นเซอร์และการเชื่อมต่ออื่นๆ:

    • A-GPS, GLONASS, Digital compass

    • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac dual band

    • Bluetooth 4.1 LE, A2DP

    • microUSB 2.0

    • Infrared

    • หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

    • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบสัมผัส Touch sensor

    • Accelerometer, Proximity, Light, Gyroscope, Magnetometer, Gravity

 

งานออกแบบและวัสดุตัวเครื่อง

Redmi Note 3 เป็นเครื่องรุ่นที่ 3 ในตระกูล Redmi Note ซึ่งงานออกแบบโดยรวมยังคงเหมือนกับรุ่นพี่ แต่คราวนี้เปลี่ยนวัสดุตัวเครื่องมาใช้โลหะและงานประกอบแบบ Unibody แทน ทำให้มือถือรุ่นนี้มีความรู้สึกสัมผัสระดับพรีเมียมขึ้นมาเยอะเลย โดยตัวบอดี้โลหะนั้นมีการเคลือบสารพิเศษมาทำให้ไม่ติดลายนิ้วมือและการจับถือรู้สึกฟินสุดๆ ขอบโค้งด้านข้างก็รับกับอุ้งมือ ถือแล้วไม่หลุดมือง่าย ส่วนด้านบนและด้านล่างนั้นเป็นพลาสติกเคลือบสี มีไว้เพื่อเป็นฉนวนรับสัญญาณมือถือจากภายนอกครับ เรามาดูรอบๆ เครื่องกันดีกว่า

xiaomi-redmi-note-3-review-design01.jpg

 

ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีรูสำหรับใช้เข็มจิ้มเพื่อเอาถาดซิมออกมา

xiaomi-redmi-note-3-review-design02.jpg

 

ด้านขวาของตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับเสียงและปุ่ม Power อยู่ ซึ่งตัวปุ่มทำมาจากโลหะเหมือนตัวเครื่องเลย

xiaomi-redmi-note-3-review-design03.jpg

 

ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีรูไมค์สนทนาและช่องสำหรับเสียบสาย USB

xiaomi-redmi-note-3-review-design04.jpg

 

ด้านบนของตัวเครื่องมีรูไมค์ตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน, ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm และช่องอินฟราเรด

xiaomi-redmi-note-3-review-design05.jpg

 

พลิกมาดูด้านหลังตัวเครื่อง ส่วนบนจะเป็นกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นไฟ Dual-LED flash และกลมๆนั่นคือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่สามารถปลดล็อคได้เร็วถึง 0.3 วินาที

xiaomi-redmi-note-3-review-design06.jpg

 

ส่วนล่างจะมีโลโก้ mi อยู่และลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้าหรือฟังเพลง

xiaomi-redmi-note-3-review-design07.jpg

 

อันนี้เป็นถาดซิมของมือถือรุ่นนี้ รองรับ 2 ซิมแบบ Micro SIM ครับ

xiaomi-redmi-note-3-review-design08.jpg

 

ส่วนด้านหน้าของเครื่องรุ่นนี้จะมีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว และขอบจอที่ค่อนข้างบางทำให้ตัวเครื่องไม่ใหญ่อย่างที่คิด ส่วนบนเป็นลำโพงสนทนา, ช่องเซ็นเซอร์ Proximity และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ส่วนล่างของหน้าจอจะมีปุ่มสัมผัส 3 ปุ่มคือ Recent, Home และ Back ตามมาตรฐาน Android

xiaomi-redmi-note-3-review-design09.jpg

 

Redmi Note 3 มี “ไฟแจ้งเตือน” หรือ LED notification มาให้ด้วยนะครับ ปรับได้ทั้งหมด 7 สี ได้แก่ ฟ้า, แดง, เหลือง, เขียว, คราม, ขาว และม่วง

xiaomi-redmi-note-3-review-design10.jpg

 

โดยรวมแล้วงานออกแบบ, วัสดุที่ใช้ และงานประกอบของมือถือรุ่นนี้ต้องถือว่าเกินราคาค่าตัวไปพอสมควร จริงๆจะบอกว่าเหมือนมือถือราคาหลักหมื่นก็คงไม่ผิดอะไร แต่พะยี่ห้อ Xiaomi แล้วราคาต้องถูก ราคาต้องคุ้มกว่ามือถือยี่ห้ออื่นในตลาด อย่างไรก็ตามช่วงหลังๆมาเราก็เริ่มเห็นมือถือจากผู้ผลิตจีนหลายๆเจ้าเดินตามแนวทางนี้อยู่เหมือนกัน และนั่นก็เรื่องดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเราแน่นอนครับ

 

ระบบซอฟท์แวร์ MIUI

xiaomi-redmi-note-3-review-software01.jpg

แน่นอนว่าระบบปฏิบัติการของมือถือ Xiaomi ทุกรุ่นนั้นคือ MIUI และ Redmi Note 3 ก็มาพร้อม MIUI 7 บน Android 5.0.2 Lollipop โดยเวอร์ชันที่ผมทำการรีวิวอยู่นี้คือ 7.2.4.0 Stable เป็น China ROM ของประเทศจีน เพราะรุ่นนี้ยังไม่มี Global ROM นะครับ และเมื่อเป็น China ROM สาวกมือถือของ Xiaomi จะรู้ดีว่าต้องทำอะไรต่อ…”ลง Google Play Store” นั่นเองครับ

สำหรับรีวิวนี้คงไม่ได้บอกรายละเอียดวิธีการลง Google Play Store ของ Redmi Note 3 แต่ผมขอแนะนำให้ไปดูวิธีการใน MIUI Forum จาก link ด้านล่างนี้ โดยคุณ feds64 ได้เขียนอธิบายไว้อย่างละเอียดเป็นขั้นตอน เข้าใจได้ง่ายอยู่แล้วครับ

วิธีการลง Google Play Store ของ Redmi Note 3

 

MIUI นั้นถือเป็น Custom ROM ของ Android ที่มีมาช้านาน ซึ่งในยุคดั้งเดิมนั้นเป็น Custom ROM สำหรับมือถือหลายรุ่นหลายยี่ห้อ แต่ไม่ได้มีมือถือเป็นของตัวเอง ก่อนที่จะมีนายทุนมาจับเอาไปทำเป็นมือถือ MIUI ขึ้นมา และนั่นก็คือจุดกำเนิดของ Xiaomi ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ สำหรับจุดเด่นของ MIUI นั้นคือหน้าตา UI ที่ดูสวยงาม การใช้งานที่ลื่นไหล และการปรับแต่ง Android อีกในหลายๆจุด จนแทบไม่เหลือเค้าโครงของ Stock Android เดิมอยู่เลย

 

Homescreen

หน้า Homescreen หรือ Launcher ของ MIUI จะไม่มี App Drawer ให้ใช้งาน ซึ่งเราก็พบเห็นแนวทางคล้ายๆกันแบบนี้ใน UI ของมือถือจากผู้ผลิตจีนหลายๆยี่ห้อ แต่ถ้าถามถึงต้นตำหรับ Android ไม่มี App Drawer ก็คงจะหนีไม่พ้น MIUI นี่แหละครับ

xiaomi-redmi-note-3-review-software02.jpg

 

Theme

ระบบ Theme ของ MIUI นั้นถือว่าพัฒนามาไกลแล้ว และมีฐานข้อมูลของ Theme จำนวนมากให้ผู้ใช้งานเลือกใส่ในมือถือของตัวเองได้ตามใจชอบ โดย MIUI จะมี Theme market ให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือก Theme ที่ชอบได้ทั้งแบบฟรีและจ่ายเงินซื้อ แต่แค่ Theme ฟรีก็มีให้เลือกกันเยอะพอสมควรแล้ว

xiaomi-redmi-note-3-review-software03.jpg

 

รูปแบบของ Theme ของ MIUI จะสามารถเปลี่ยนโฉมของระบบได้ทุกส่วนตั้งแต่ wallpaper, icon, หน้า settings, หน้า lockscreen, แถบ Notification, Dialer และอื่นๆอีกมากมาย ผู้พัฒนา Theme จึงสามารถทำให้หน้าตาของระบบทุกส่วนดูสอดคล้องเข้ากัน ไม่มีอะไรกระโดดหรือเพี้ยนไม่เข้าเพื่อน ลองมาดูตัวอย่าง Theme ของ MIUI กันครับ

xiaomi-redmi-note-3-review-software04.jpg

 

xiaomi-redmi-note-3-review-software05.jpg

 

xiaomi-redmi-note-3-review-software06.jpg

 

xiaomi-redmi-note-3-review-software07.jpg

 

Security

ตามชื่อแล้วดูเหมือนว่าเป็นฟีเจอร์เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของเครื่อง แต่ฟีเจอร์ที่ให้มานั้นค่อนข้างหลากหลาย ประกอบด้วย

  • Cleaner : ทำความสะอาดระบบเพื่อเรียกพื้นที่คืน โดยการลบ cache และ app ที่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานาน

  • Data usage : ตั้งค่าลิมิตสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต ให้มีการแจ้งเตือนหรือบล็อคการใช้งาน ถ้ามีการใช้งานเน็ตเกินค่าที่ตั้งไว้

  • Blocklist : จัดการเรื่องการบล็อคเบอร์โทรหรือ SMS ที่เราไม่อยากได้รับ

  • Battery : ระบบประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ที่เราสามารถปรับแต่งค่าได้หลายอย่าง เช่น การปิด Wifi, ปิดอินเตอร์เน็ต, ปรับแสงหน้าจอ เป็นต้น

  • Virus scan : ระบบสแกนไวรัสหรือมัลแวร์ประเภทต่างๆ

  • Permissions : จัดการเรื่องสิทธิ์การเข้าถึงของ App ต่างๆในระบบ เช่น การเปิด GPS, การต่ออินเตอร์เน็ต, การเปิดกล้อง เป็นต้น

xiaomi-redmi-note-3-review-software08.jpg

 

Lite mode

โหมดใช้งานพิเศษสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากซับซ้อนของสมาร์ทโฟนปัจจุบัน ในโหมดนี้ตัวหนังสือจะใหญ่เป็นพิเศษให้มองเห็นได้ชัด มีหน้าหลักอยู่ 3 หน้า คือ หน้าแรกที่มี App พื้นฐานให้เลือกใช้ทั้ง Gallery, Camera, Phone และ Message ถัดมาหน้าทางซ้ายจะเป็นหน้าเพิ่มเบอร์โทรคนที่ติดต่อประจำได้ 6 เบอร์ ส่วนทางด้านขวาจะมี Contacts, Calculator รวมไปถึงรายชื่อ App ทั้งหมดในเครื่อง

xiaomi-redmi-note-3-review-software09.jpg

 

MIUI ยังมีฟีเจอร์เจ๋งๆอีกหลายอย่างในส่วนของซอฟท์แวร์ เช่น Child mode, การจัดการ App ที่ต่อเน็ตตลอดเวลา, ระบบ Lockscreen และอื่นๆ แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนตกหลุมรัก MIUI มาช้านาน หน้าตาที่สวยงาม, การใช้งานที่ไม่ซ้บซ้อนมากนัก, การตอบสนองที่ลื่นไหล ล้วนเป็นจุดเด่นของ MIUI และมือถือ Xiaomi ในปัจจุบัน รวมไปถึงการอัพเดตซอฟท์แวร์ที่มีการปล่อยอย่างสม่ำเสมอ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง 

ถ้าจะมองหาจุดด้อยสักอย่างของ MIUI คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยอัพเดต Android เวอร์ชันใหม่ๆตาม Google สักเท่าไหร่ อันนี้ก็เป็นโจทย์ที่ทาง MIUI และ Xiaomi ต้องหาทางแก้ต่อไป

 

ประสิทธิภาพและความอึดของแบตเตอรี่

Xiaomi Redmi Note 3 มาพร้อมหน่วยประมวผล MediaTek Helio X10 แบบ octa-core ความเร็ว 2.0GHz ส่วน GPU เป็น PowerVR G6200 สำหรับการใช้งานทั่วไปนั้นต้องบอกว่า “ลื่นแบบหายห่วง” ด้วยตัว MIUI ที่มีจุดเด่นในเรื่องความเร็วอยู่แล้ว สำหรับ RAM 2GB ก็ถือว่าเพียงพอแต่ยังไม่สุด เพราะหลายๆครั้งที่ App ถูก kill ไปแล้วต้องกลับมาเปิดใหม่อยู่เรื่อยๆ ถ้าเป็นรุ่น RAM 3GB น่าจะดีกว่านี้ สำหรับผลการทดสอบ benchmark ก็ได้ผลตามนี้

xiaomi-redmi-note-3-review-performance01.jpg

Antutu Benchmark

 

xiaomi-redmi-note-3-review-performance02.jpg

Geekbench 3

 

สำหรับคะแนน benchmark ที่ออกมาต้องถือว่าทำได้ตามมาตรฐาน ถ้าเทียบกับมือถือรุ่นอื่นๆในระดับสเปกเดียวกัน แต่การใช้งานอย่างที่บอกไปว่าลื่นหายห่วง ไม่ค่อยมีการกระตุกให้เห้นสักเท่าไหร่ ส่วนเรื่องการเล่นเกมส์ก็ทำได้ดีทั้งเกมส์ 2D และ 3D แต่อย่าไปคาดหวังอะไรมากกับการเล่นเกมส์ที่กราฟฟิกหนักๆนะครับ

 

ในส่วนของเนื้อที่ 16GB ที่ให้มานั้นสามารถใช้งานได้จริง 12.47GB ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่มันจะดีกว่านี้ถ้ามีการรองรับ microSD card เป็นทางเลือกมาให้ด้วยสำหรับคนใช้เยอะ น่าเสียดายจริงๆ

xiaomi-redmi-note-3-review-performance03.jpg

 

สำหรับ แบตเตอรี่ขนาด 4000mAh นั้นจัดว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของมือถือรุ่นนี้เลยทีเดียว ด้วยการใช้ประจำวันของผมสามารถอยู่ข้ามวันได้สบาย วันที่ใช้งานเยอะ Screen on กัน 5 ชั่วโมง ก็ยังมีแบตเหลือถึงบ้านตั้ง 20% ส่วนวันไหนเบาๆไม่ใช้งานเยอะ Screen on ไป 2 ชั่วโมงกว่า พอกลับถึงบ้านแบตเหลืออยู่ถึง 50% อีกตั้งครึ่งนึงแหนะ เรียกว่าใช้งานกันแบบไม่ต้องห่วงแบตมากนักสำหรับมือถือรุ่นนี้ ถึงแม้จะไม่มีระบบชาร์จเร็ว แต่ Adaptor ขนาด 5V 2A ก็ถือว่าชาร์จไม่ช้านะครับ

xiaomi-redmi-note-3-review-performance04.jpg

ใช้งานมาก

 

xiaomi-redmi-note-3-review-performance05.jpg

ใช้งานน้อย

 

กล้องถ่ายรูป

Redmi Note 3 มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, เลนส์ที่มีค่า f/2.2 และระบบ Phase Detection Auto Focus (PDAF) ที่เคลมว่าโฟกัสได้ไวถึง 0.1 วินาที ส่วนกล้องหน้านั้นให้มา 5 ล้านพิกเซลพร้อมค่า f/2.0 ถือว่าไม่ขี้เหร่เลย สำหรับสเปกกล้องของมือถือรุ่นนี้

xiaomi-redmi-note-3-review-camera01.jpg

คุณภาพของภาพถ่ายที่ออกมาต้องบอกว่า “น่าพอใจ” โดยรวมสีอาจจะดูจืดไปนิด และขาดรายละเอียดเล็กน้อยในบางจุด แต่ถือว่าดีมากแล้วสำหรับมือถือราคาระดับนี้ ในบางสภาพแสงภาพที่จะดูมืดกว่าปกติ แต่เราสามารถใช้โหมด HDR เข้ามาช่วยเพิ่มแสงในส่วนที่มืด ให้เห็นรายละเอียดได้เพิ่มขึ้น ส่วนภาพที่ในที่แสงน้อยก็มี noise มาให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด ลองมาดูตัวอย่างภาพถ่ายกันครับ 

กลางวัน

 

 

แสงน้อย/ที่ร่ม/กลางคืน

 

HDR

 

อัลบั้มเต็ม 

 

ตัวอย่างวิดีโอ

Play video

Play video

 

บทสรุป

Xiaomi Redmi Note 3 เป็นมือถือระดับ Mid-range ที่ดีมากๆรุ่นหนึ่งในตอนนี้ ด้วยหน่วยประมวลผล MediaTek Helio X10 ที่มือถือบางรุ่นนำไปใช้ในมือถือเรือธงด้วยซ้ำ RAM 2GB และ ROM 16GB รวมๆแล้วก็เพียงพอกับใช้งาน แต่จะดีกว่านี้ถ้าสามารถเสียบ microSD card เพิ่มได้ด้วย ในส่วนของงานประกอบและวัสดุที่ใช้นั้นจัดอยู่ในระดับพรีเมียมได้เลย แล้วยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปลดล็อคได้รวดเร็วมาให้ใช้งานด้วย สำหรับเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานก็ลื่นไหลดี ตอบสนองได้ดี ทั้งการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกมส์ ในขณะที่แบตเตอรี่ 4000mAh ก็ทำให้ใช้งานมือถือได้นานโดยไม่ต้องห่วงเรื่องชาร์จมากนัก

Redmi Note 3 นั้นเป็นมือถือที่ตอบโจทย์ของตลาดกลางได้ดีพอสมควรทั้งเรื่องของสเปกและราคา แต่ถ้าเพื่อนสมาชิกสนใจคงต้องมองหาเครื่องหิ้วมาใช้งานกัน เพราะ Xiaomi ยังไม่ได้เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ราคาเครื่องหิ้วที่ขายกันตอนนี้ก็ประมาณ 7,xxx บาท ครับ สำหรับวันนี้ขอลาไปด้วยความว่า “สวัสดี”