สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน กลับมาเจอกันอีกแล้วสำหรับบทความรีวิวมือถือ รอบนี้ขอมาแนะนำ Xiaomi Redmi Note 3 มือถือคุณภาพพรีเมียมพร้อมสเปกสุดคุ้มจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับหนึ่งของประเทศจีน Xiaomi นั่นเอง โดยสำหรับเครื่องรีวิวนี้เป็นเครื่องของผมเอง (ขอบคุณ Droidsans สำหรับการสนับสนุนครั้งนี้) เรามาดูความน่าสนใจของมือถือรุ่นนี้กันดีกว่า
Xiaomi แบรนด์มือถือยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนที่หลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว โดยจุดเด่นของมือถือจาก Xiaomi คืองานออกแบบและสเปกต่อราคาที่แสนจะคุ้มค่าหากเทียบกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่อื่นๆอย่าง Samsung, Sony หรือ LG แต่ทว่าสำหรับประเทศไทยแล้ว Xiaomi ยังไม่มีการเข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง มีเพียงแต่ทาง Distributor ที่นำเครื่องบางรุ่นเข้ามาจำหน่ายเองเท่านั้น และ Redmi Note 3 เครื่องนี้ก็เป็นเครื่อง import จากประเทศจีน ไม่ใช่เครื่องที่มีจำหน่ายแบบเป็นทางการในประเทศไทยนะครับ
สำหรับ Redmi Note 3 นั้นเป็นมือถือในสเปกระดับ Mid-range ที่มีงานออกแบบพรีเมียมแต่ขายในราคาเริ่มต้นเพียง 7,xxx บาทเท่านั้น เรียกว่าดูมุมไหนก็คุ้มเลยครับสำหรับรุ่นนี้ เรามาแกะกล่องดูของใน package กันดีกว่า
แกะกล่องซะก่อน
สำหรับกล่อง package ของ Redmi Note 3 นั้นเป็นกล่องกระดาษแข็งสีขาวธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ เปิดฝากล่องออกมาก็จะเห็นตัวเครื่อง Redmi Note 3 นอนรออยู่เลย อ้อ Redmi Note 3 มีอยู่ 3 สีด้วยกันคือ ขาว, ดำ และทอง สำหรับเครื่องของผมเป็นสีทองนะครับ
อุปกรณ์ที่แถมมาให้ในกล่องก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ประกอบด้วย
ตัวเครื่อง Redmi Note 3
สาย USB
หัวชาร์จ Adapter ขนาด 5V 2A
เข็มจิ้มถาดซิม
คู่มือและใบรับประกัน
จะเห็นว่า Xiaomi ไม่ได้แถมหูฟัง smalltalk มาให้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของค่ายนี้ เพราะเค้าบอกว่า ทุกคนมีหูฟังที่ตัวเองชอบและใช้งานประจำอยู่แล้ว แต่เหตุผลอีกด้านก็คงจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตต่อเครื่องนั่นเอง
สเปกของ Redmi Note 3
มือถือรุ่นนี้จะแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย แตกต่างกันที่ RAM และ ROM คือ รุ่น 2GB/16GB และรุ่น 3GB/32GB โดยสเปกอย่างอื่นเหมือนกันหมด สำหรับเครื่องรีวิวนี้เป็นแบบ 2GB/16GB สเปกอื่นๆเป็นดังนี้
ชื่อและรหัสเครื่อง : Xiaomi Redmi Note 3
สัดส่วน : 150 x 76 x 8.7 มิลลิเมตร
น้ำหนัก : 164 กรัม
หน้าจอ : IPS LCD 5.5 นิ้ว ความละเอียด FullHD 1920×1080 พิกเซล
เครือข่ายที่รองรับ:
4G : LTE band 1(2100), 3(1800), 7(2600), 38(2600), 39(1900), 40(2300), 41(2500)
3G : WCDMA 850 / 900 / 1900 / 2100
2G : GSM 850 / 900 / 1800 / 1900
SIM : 2 SIM แบบ Nano-SIM (Dual standby)
CPU : Mediatek MT6795 Helio X10
GPU : PowerVR G6200
RAM : 2GB / 3GB
หน่วยความจำภายใน : 16GB / 32GB ไม่รองรับ microSD
กล้องหน้า : 5 ล้านพิกเซล
กล้องหลัง : 13 ล้านพิกเซล พร้อมระบบโฟกัสแบบ PDAF และ Dual LED flash
แบตเตอรี่ : Li-PO 4000mAh (ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้)
OS : Android 5.0.2 Lollipop พร้อม MIUI 7
NFC : ไม่มี
OTG : มี
ไฟแจ้งเตือน : มี
เซ็นเซอร์และการเชื่อมต่ออื่นๆ:
A-GPS, GLONASS, Digital compass
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac dual band
Bluetooth 4.1 LE, A2DP
microUSB 2.0
Infrared
หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบสัมผัส Touch sensor
Accelerometer, Proximity, Light, Gyroscope, Magnetometer, Gravity
งานออกแบบและวัสดุตัวเครื่อง
Redmi Note 3 เป็นเครื่องรุ่นที่ 3 ในตระกูล Redmi Note ซึ่งงานออกแบบโดยรวมยังคงเหมือนกับรุ่นพี่ แต่คราวนี้เปลี่ยนวัสดุตัวเครื่องมาใช้โลหะและงานประกอบแบบ Unibody แทน ทำให้มือถือรุ่นนี้มีความรู้สึกสัมผัสระดับพรีเมียมขึ้นมาเยอะเลย โดยตัวบอดี้โลหะนั้นมีการเคลือบสารพิเศษมาทำให้ไม่ติดลายนิ้วมือและการจับถือรู้สึกฟินสุดๆ ขอบโค้งด้านข้างก็รับกับอุ้งมือ ถือแล้วไม่หลุดมือง่าย ส่วนด้านบนและด้านล่างนั้นเป็นพลาสติกเคลือบสี มีไว้เพื่อเป็นฉนวนรับสัญญาณมือถือจากภายนอกครับ เรามาดูรอบๆ เครื่องกันดีกว่า
ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีรูสำหรับใช้เข็มจิ้มเพื่อเอาถาดซิมออกมา
ด้านขวาของตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับเสียงและปุ่ม Power อยู่ ซึ่งตัวปุ่มทำมาจากโลหะเหมือนตัวเครื่องเลย
ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีรูไมค์สนทนาและช่องสำหรับเสียบสาย USB
ด้านบนของตัวเครื่องมีรูไมค์ตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน, ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm และช่องอินฟราเรด
พลิกมาดูด้านหลังตัวเครื่อง ส่วนบนจะเป็นกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นไฟ Dual-LED flash และกลมๆนั่นคือ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่สามารถปลดล็อคได้เร็วถึง 0.3 วินาที
ส่วนล่างจะมีโลโก้ mi อยู่และลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้าหรือฟังเพลง
อันนี้เป็นถาดซิมของมือถือรุ่นนี้ รองรับ 2 ซิมแบบ Micro SIM ครับ
ส่วนด้านหน้าของเครื่องรุ่นนี้จะมีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว และขอบจอที่ค่อนข้างบางทำให้ตัวเครื่องไม่ใหญ่อย่างที่คิด ส่วนบนเป็นลำโพงสนทนา, ช่องเซ็นเซอร์ Proximity และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ส่วนล่างของหน้าจอจะมีปุ่มสัมผัส 3 ปุ่มคือ Recent, Home และ Back ตามมาตรฐาน Android
Redmi Note 3 มี “ไฟแจ้งเตือน” หรือ LED notification มาให้ด้วยนะครับ ปรับได้ทั้งหมด 7 สี ได้แก่ ฟ้า, แดง, เหลือง, เขียว, คราม, ขาว และม่วง
โดยรวมแล้วงานออกแบบ, วัสดุที่ใช้ และงานประกอบของมือถือรุ่นนี้ต้องถือว่าเกินราคาค่าตัวไปพอสมควร จริงๆจะบอกว่าเหมือนมือถือราคาหลักหมื่นก็คงไม่ผิดอะไร แต่พะยี่ห้อ Xiaomi แล้วราคาต้องถูก ราคาต้องคุ้มกว่ามือถือยี่ห้ออื่นในตลาด อย่างไรก็ตามช่วงหลังๆมาเราก็เริ่มเห็นมือถือจากผู้ผลิตจีนหลายๆเจ้าเดินตามแนวทางนี้อยู่เหมือนกัน และนั่นก็เรื่องดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเราแน่นอนครับ
ระบบซอฟท์แวร์ MIUI
แน่นอนว่าระบบปฏิบัติการของมือถือ Xiaomi ทุกรุ่นนั้นคือ MIUI และ Redmi Note 3 ก็มาพร้อม MIUI 7 บน Android 5.0.2 Lollipop โดยเวอร์ชันที่ผมทำการรีวิวอยู่นี้คือ 7.2.4.0 Stable เป็น China ROM ของประเทศจีน เพราะรุ่นนี้ยังไม่มี Global ROM นะครับ และเมื่อเป็น China ROM สาวกมือถือของ Xiaomi จะรู้ดีว่าต้องทำอะไรต่อ…”ลง Google Play Store” นั่นเองครับ
สำหรับรีวิวนี้คงไม่ได้บอกรายละเอียดวิธีการลง Google Play Store ของ Redmi Note 3 แต่ผมขอแนะนำให้ไปดูวิธีการใน MIUI Forum จาก link ด้านล่างนี้ โดยคุณ feds64 ได้เขียนอธิบายไว้อย่างละเอียดเป็นขั้นตอน เข้าใจได้ง่ายอยู่แล้วครับ
วิธีการลง Google Play Store ของ Redmi Note 3
MIUI นั้นถือเป็น Custom ROM ของ Android ที่มีมาช้านาน ซึ่งในยุคดั้งเดิมนั้นเป็น Custom ROM สำหรับมือถือหลายรุ่นหลายยี่ห้อ แต่ไม่ได้มีมือถือเป็นของตัวเอง ก่อนที่จะมีนายทุนมาจับเอาไปทำเป็นมือถือ MIUI ขึ้นมา และนั่นก็คือจุดกำเนิดของ Xiaomi ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ สำหรับจุดเด่นของ MIUI นั้นคือหน้าตา UI ที่ดูสวยงาม การใช้งานที่ลื่นไหล และการปรับแต่ง Android อีกในหลายๆจุด จนแทบไม่เหลือเค้าโครงของ Stock Android เดิมอยู่เลย
Homescreen
หน้า Homescreen หรือ Launcher ของ MIUI จะไม่มี App Drawer ให้ใช้งาน ซึ่งเราก็พบเห็นแนวทางคล้ายๆกันแบบนี้ใน UI ของมือถือจากผู้ผลิตจีนหลายๆยี่ห้อ แต่ถ้าถามถึงต้นตำหรับ Android ไม่มี App Drawer ก็คงจะหนีไม่พ้น MIUI นี่แหละครับ
Theme
ระบบ Theme ของ MIUI นั้นถือว่าพัฒนามาไกลแล้ว และมีฐานข้อมูลของ Theme จำนวนมากให้ผู้ใช้งานเลือกใส่ในมือถือของตัวเองได้ตามใจชอบ โดย MIUI จะมี Theme market ให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือก Theme ที่ชอบได้ทั้งแบบฟรีและจ่ายเงินซื้อ แต่แค่ Theme ฟรีก็มีให้เลือกกันเยอะพอสมควรแล้ว
รูปแบบของ Theme ของ MIUI จะสามารถเปลี่ยนโฉมของระบบได้ทุกส่วนตั้งแต่ wallpaper, icon, หน้า settings, หน้า lockscreen, แถบ Notification, Dialer และอื่นๆอีกมากมาย ผู้พัฒนา Theme จึงสามารถทำให้หน้าตาของระบบทุกส่วนดูสอดคล้องเข้ากัน ไม่มีอะไรกระโดดหรือเพี้ยนไม่เข้าเพื่อน ลองมาดูตัวอย่าง Theme ของ MIUI กันครับ
Security
ตามชื่อแล้วดูเหมือนว่าเป็นฟีเจอร์เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของเครื่อง แต่ฟีเจอร์ที่ให้มานั้นค่อนข้างหลากหลาย ประกอบด้วย
Cleaner : ทำความสะอาดระบบเพื่อเรียกพื้นที่คืน โดยการลบ cache และ app ที่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานาน
Data usage : ตั้งค่าลิมิตสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต ให้มีการแจ้งเตือนหรือบล็อคการใช้งาน ถ้ามีการใช้งานเน็ตเกินค่าที่ตั้งไว้
Blocklist : จัดการเรื่องการบล็อคเบอร์โทรหรือ SMS ที่เราไม่อยากได้รับ
Battery : ระบบประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ที่เราสามารถปรับแต่งค่าได้หลายอย่าง เช่น การปิด Wifi, ปิดอินเตอร์เน็ต, ปรับแสงหน้าจอ เป็นต้น
Virus scan : ระบบสแกนไวรัสหรือมัลแวร์ประเภทต่างๆ
Permissions : จัดการเรื่องสิทธิ์การเข้าถึงของ App ต่างๆในระบบ เช่น การเปิด GPS, การต่ออินเตอร์เน็ต, การเปิดกล้อง เป็นต้น
Lite mode
โหมดใช้งานพิเศษสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากซับซ้อนของสมาร์ทโฟนปัจจุบัน ในโหมดนี้ตัวหนังสือจะใหญ่เป็นพิเศษให้มองเห็นได้ชัด มีหน้าหลักอยู่ 3 หน้า คือ หน้าแรกที่มี App พื้นฐานให้เลือกใช้ทั้ง Gallery, Camera, Phone และ Message ถัดมาหน้าทางซ้ายจะเป็นหน้าเพิ่มเบอร์โทรคนที่ติดต่อประจำได้ 6 เบอร์ ส่วนทางด้านขวาจะมี Contacts, Calculator รวมไปถึงรายชื่อ App ทั้งหมดในเครื่อง
MIUI ยังมีฟีเจอร์เจ๋งๆอีกหลายอย่างในส่วนของซอฟท์แวร์ เช่น Child mode, การจัดการ App ที่ต่อเน็ตตลอดเวลา, ระบบ Lockscreen และอื่นๆ แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนตกหลุมรัก MIUI มาช้านาน หน้าตาที่สวยงาม, การใช้งานที่ไม่ซ้บซ้อนมากนัก, การตอบสนองที่ลื่นไหล ล้วนเป็นจุดเด่นของ MIUI และมือถือ Xiaomi ในปัจจุบัน รวมไปถึงการอัพเดตซอฟท์แวร์ที่มีการปล่อยอย่างสม่ำเสมอ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง
ถ้าจะมองหาจุดด้อยสักอย่างของ MIUI คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยอัพเดต Android เวอร์ชันใหม่ๆตาม Google สักเท่าไหร่ อันนี้ก็เป็นโจทย์ที่ทาง MIUI และ Xiaomi ต้องหาทางแก้ต่อไป
ประสิทธิภาพและความอึดของแบตเตอรี่
Xiaomi Redmi Note 3 มาพร้อมหน่วยประมวผล MediaTek Helio X10 แบบ octa-core ความเร็ว 2.0GHz ส่วน GPU เป็น PowerVR G6200 สำหรับการใช้งานทั่วไปนั้นต้องบอกว่า “ลื่นแบบหายห่วง” ด้วยตัว MIUI ที่มีจุดเด่นในเรื่องความเร็วอยู่แล้ว สำหรับ RAM 2GB ก็ถือว่าเพียงพอแต่ยังไม่สุด เพราะหลายๆครั้งที่ App ถูก kill ไปแล้วต้องกลับมาเปิดใหม่อยู่เรื่อยๆ ถ้าเป็นรุ่น RAM 3GB น่าจะดีกว่านี้ สำหรับผลการทดสอบ benchmark ก็ได้ผลตามนี้
Antutu Benchmark
Geekbench 3
สำหรับคะแนน benchmark ที่ออกมาต้องถือว่าทำได้ตามมาตรฐาน ถ้าเทียบกับมือถือรุ่นอื่นๆในระดับสเปกเดียวกัน แต่การใช้งานอย่างที่บอกไปว่าลื่นหายห่วง ไม่ค่อยมีการกระตุกให้เห้นสักเท่าไหร่ ส่วนเรื่องการเล่นเกมส์ก็ทำได้ดีทั้งเกมส์ 2D และ 3D แต่อย่าไปคาดหวังอะไรมากกับการเล่นเกมส์ที่กราฟฟิกหนักๆนะครับ
ในส่วนของเนื้อที่ 16GB ที่ให้มานั้นสามารถใช้งานได้จริง 12.47GB ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่มันจะดีกว่านี้ถ้ามีการรองรับ microSD card เป็นทางเลือกมาให้ด้วยสำหรับคนใช้เยอะ น่าเสียดายจริงๆ
สำหรับ แบตเตอรี่ขนาด 4000mAh นั้นจัดว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของมือถือรุ่นนี้เลยทีเดียว ด้วยการใช้ประจำวันของผมสามารถอยู่ข้ามวันได้สบาย วันที่ใช้งานเยอะ Screen on กัน 5 ชั่วโมง ก็ยังมีแบตเหลือถึงบ้านตั้ง 20% ส่วนวันไหนเบาๆไม่ใช้งานเยอะ Screen on ไป 2 ชั่วโมงกว่า พอกลับถึงบ้านแบตเหลืออยู่ถึง 50% อีกตั้งครึ่งนึงแหนะ เรียกว่าใช้งานกันแบบไม่ต้องห่วงแบตมากนักสำหรับมือถือรุ่นนี้ ถึงแม้จะไม่มีระบบชาร์จเร็ว แต่ Adaptor ขนาด 5V 2A ก็ถือว่าชาร์จไม่ช้านะครับ
ใช้งานมาก
ใช้งานน้อย
กล้องถ่ายรูป
Redmi Note 3 มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, เลนส์ที่มีค่า f/2.2 และระบบ Phase Detection Auto Focus (PDAF) ที่เคลมว่าโฟกัสได้ไวถึง 0.1 วินาที ส่วนกล้องหน้านั้นให้มา 5 ล้านพิกเซลพร้อมค่า f/2.0 ถือว่าไม่ขี้เหร่เลย สำหรับสเปกกล้องของมือถือรุ่นนี้
คุณภาพของภาพถ่ายที่ออกมาต้องบอกว่า “น่าพอใจ” โดยรวมสีอาจจะดูจืดไปนิด และขาดรายละเอียดเล็กน้อยในบางจุด แต่ถือว่าดีมากแล้วสำหรับมือถือราคาระดับนี้ ในบางสภาพแสงภาพที่จะดูมืดกว่าปกติ แต่เราสามารถใช้โหมด HDR เข้ามาช่วยเพิ่มแสงในส่วนที่มืด ให้เห็นรายละเอียดได้เพิ่มขึ้น ส่วนภาพที่ในที่แสงน้อยก็มี noise มาให้เห็นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด ลองมาดูตัวอย่างภาพถ่ายกันครับ
กลางวัน
แสงน้อย/ที่ร่ม/กลางคืน
HDR
อัลบั้มเต็ม
ตัวอย่างวิดีโอ
บทสรุป
Xiaomi Redmi Note 3 เป็นมือถือระดับ Mid-range ที่ดีมากๆรุ่นหนึ่งในตอนนี้ ด้วยหน่วยประมวลผล MediaTek Helio X10 ที่มือถือบางรุ่นนำไปใช้ในมือถือเรือธงด้วยซ้ำ RAM 2GB และ ROM 16GB รวมๆแล้วก็เพียงพอกับใช้งาน แต่จะดีกว่านี้ถ้าสามารถเสียบ microSD card เพิ่มได้ด้วย ในส่วนของงานประกอบและวัสดุที่ใช้นั้นจัดอยู่ในระดับพรีเมียมได้เลย แล้วยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปลดล็อคได้รวดเร็วมาให้ใช้งานด้วย สำหรับเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานก็ลื่นไหลดี ตอบสนองได้ดี ทั้งการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกมส์ ในขณะที่แบตเตอรี่ 4000mAh ก็ทำให้ใช้งานมือถือได้นานโดยไม่ต้องห่วงเรื่องชาร์จมากนัก
Redmi Note 3 นั้นเป็นมือถือที่ตอบโจทย์ของตลาดกลางได้ดีพอสมควรทั้งเรื่องของสเปกและราคา แต่ถ้าเพื่อนสมาชิกสนใจคงต้องมองหาเครื่องหิ้วมาใช้งานกัน เพราะ Xiaomi ยังไม่ได้เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ราคาเครื่องหิ้วที่ขายกันตอนนี้ก็ประมาณ 7,xxx บาท ครับ สำหรับวันนี้ขอลาไปด้วยความว่า “สวัสดี”
เสียดายน่าจะเป็นรีวิวตัว Redmi note3 Pro (Sanp 650)
ปล.รุ่นนี้มีรอม Global แล้วนะครับ
หา link ไม่เจอ ช่วยชี้แนะหน่อยครับ
มีเฉพาะ cpu snap ครับ ตัว mtk ไม่มีรอม Global
เรื่องไม่ค่อยอัพเดต Android เวอร์ชันใหม่ๆตาม Google
เรื่องนี้ผมว่าเป็นเพราะใช้รุ่นกลาง, ล่างกับรุ่นย่อยนะครับ
รุ่นท๊อป Mi4 ผมได้อัพ Android M แล้ว
ส่วนรุ่นกลาง Redmi Note 3 ที่ผมซื้อให้แม่ยังอยู่ที่ Android L อยู่เลย(รอมโซนฟิลิปปินส์ลงกูเกิ้ลเพลย์มาให้ตั้งแต่แรก)
เข้าไปดูมือถือยอดขายสูงสุดในเว็บ AliExpress รุ่นนี้ Redmi Note 3 ได้อันดับ 5ยอดขายสูงสุดในเว็บแล้ว ถือว่าเร็วมาก ขนาดเพิ่งขายได้ไม่กี่เดือน (อันดับหนึ่งคือ Redmi Note 2)
Mi3/4 อยู่ KK มาจนคิดว่าจะจบที่ KK แล้วครับ
ตัว MIUI เอง อัพบ่อยไม่เถียง แต่น่าจะข้าม version ให้หน่อย ไหนๆก็ทำให้รุ่นอื่นแล้ว
Mi3/4 ได้ ROM beta ที่เป็น 6.0 แล้วครับ ผมเพิ่งอัพ Mi3 ไปเมื่อวันก่อน แต่กลับมีปัญหาเรื่องปรับ Speed Shutter ซะงั้น
ผมว่า Redmi Note 2 คุ้มกว่านะ สเปคเท่ากันต่างแค่วัสดุและไม่มีสแกนนิ้วแค่ 4500 บาท
แป่ว นึกว่ารีวิวตัวโปร cpu SD 650 เจนล่าสุด T_T
ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ ครับ
สั่งออนไลน์ก็มีค่ะ 6 พันกว่าบาทเอง ลองไปดูที่ http://bit.ly/xiaomi-sale
.
หาโค้ดส่วนลดเพิ่มได้อีกทีนี่ http://bit.ly/lazada-coupon-code
.
มันคนละรุ่นกับ mi note ใช่ป่ะครับ
คนละรุ่นครับ Mi Note นั่นระดับท็อป
Redmi Note คือสายเกือบล่างๆ แล้วครับ ผมใช้อยู่ Redmi Note 2
มี sound Chip พิเศษ รึเปล่าครับ เช่น Wolfson หรือ Cirrus logic ยังงี้
การฟังเพลง จะ รื่นเริงบันเทิงใจ มากๆ
มีไปก็เท่านั้นแหละ 16GB มีให้12กว่าๆ หลังลงแอพแล้ว แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ลงเพลง เอามาฟังmp3 128kbpsก็เสียของเปล่าๆ losslessธรรมดาๆไม่กี่เพลงก็ปากไปหลายGBแล้ว ยิ่งใช้Hi-Resไม่ต้องพูดถึง 10เพลงก็1GBสบายๆ แอพสตรีมมิ่งที่มีHi-resก็มีแค่ไม่กี่แอพ นอกนั้นก็สตรีมข้อมูลมาระดับ128-320kbps
การมีชิพเสียงดีๆ แต่เนื้อที่ดันจำกัดทำให้ต้องลดคุณภาพไฟล์เพลงลง ยิ่งทำให้อารมณ์เสียมากกว่าบันเทิง ไฟล์เสียงคุณภาพไม่ดียังไง เวลาฟัง มันฟ้องหมดแหละว่าไฟล์ไม่ดี
รุ่นนี้ฟังเพลงเสียงดีเลยครับ ไม่แน่ใจว่าใช้ชิปเสียงของใคร แต่เรื่อง ROM 16GB ก็ค่อนข้างมีปัญหากับคนฟังเพลงเลยล่ะ ตอนนี้ผมเลยใช้เจ้านี่ช่วยไปก่อน
รีวิวดีงามครับ ขอบคุณครับ
แต่เสียดายรุ่นนี้เพิ่ม mem ไม่ได้จัง แต่ถือว่าคุ้มมากครับ
จัดตัว 3GB/32GB ครับ เป็นทางออก
นั่นสิครับ
ถ้าจัด คงเป็นแบบนั้นแหละครับ อิอิ ^^
ผมเพิ่งซื้อตัว SnapDragon 650 RAM 3 GB มาใช้ได้ประมาณ 2 อาทิตย์ โดยรวมมันดีมากๆ ลื่นไหล
จุดที่แตกต่างจากตัว Helio นอกจาก CPU GPU แล้ว ถาดซิม 2 เป็นแบบ Hybrid ทำให้ใส่ mem เพิ่มได้ และแบตเพิ่มเป็น 4050 mAh
สำหรับ ROM ตัว Snap650 มี Global ROM ออกมาให้ใช้แล้ว (ยังคงเป็น Android 5.1.1 ยังไม่ใช่ Android M) จึงมี Google service ติดมากับเครื่องเลย ไม่ต้องลงเอง และ bloatware ที่เป็นภาษาจีนก็ถูกตัดออกไป แต่ก็ทำให้เสียบางอย่างไปด้วย เช่นระบบ theme ที่จะมีไม่มากเท่า ROM China
ปัญหาเรื่องการแจ้งเตือน Line และ FB Messenger ยังต้องมีการตั้งค่าการใช้งานเพิ่มเติมนิดหน่อย เพื่ออนุญาตให้ App เด้งเตือนได้ แต่ badge ที่ app icon แสดงตัวเลขถูกต้อง ไม่มีปัญหาอะไร โดยรวมไม่มีปัญหาจุกจิกกวนใจ เหมือน MIUI เวอร์ชั่นก่อนๆแล้ว
เรื่อง performance ตัว snap ให้ค่า benchmark สูงกว่าตัว Helio ทุก app สามารถหาดูได้จากหลายสำนัก แต่โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป ไม่เห็นความแตกต่างมากนัก ยกเว้นเล่นเกมส์หนักๆ
ข้อดีอีกอย่างของ Redmi Note 3 คือ ตัว finger scan ไวมาก แตะเป็นติด 9/10 ครั้ง คือไวกว่าหลายๆตัวที่เคยลองเล่นมา แต่ข้อด้อยคือ มันเอาไว้ปลดล๊อคได้อย่างเดียว ยังเอาไว้เปิด app หรือเป็น shutter ถ่ายรูปแบบางค่ายไม่ได้ แต่ใน ROM China สามารถทำได้แล้ว คงต้องรอ update version ต่อๆไปสำหรับ ROM Global
ถ้าจะเล่นเกมส์แนะนำเป็นตัว Snapdragon ครับ เหมาะแก่การเล่นเกมส์มากกว่า Helio X10 เยอะครับ แถมทำลายขีดจำกัดของ Helio X10 ออกหมด เช่น
1. CPU/GPU ที่แรงขึ้น(มาก) แรงระดับที่เบียดกับ Snapdragon 808 ได้เลย เหมาะแก่การเล่นเกมส์
2. เพิ่มการใส่ memory card เข้ามา โดยที่ใส่ตรงช่อง Sim 2 ได้ แต่ทั้งนี้ต้องเลือกเอาว่าจะใช้ 2 Sim แต่ใส่ mem ไม่ได้ หรือว่า 1 Sim แต่ใส่ mem ได้ (ไม่แนะนำให้ดัดแปลงถาดซิมให้ใช้แบบ 2 Sim + ใส่เมมฯนะครับ)
3. กล้องความละเอียดที่เพิ่มขึ้นจาก 13M เป็น 16M รวมถึงค่าโฟกัสใหม่ด้วย ทำให้ถ่ายรูปในที่แสงน้อยดีขึ้น
4. Quick Charge 1.0 ที่ชาร์ตได้ไวกว่าของ Helio X10 (ตาม Spec CPU น่าจะได้ถึง Quick Charge 3.0 แต่ทาง Xiaomi ได้ล๊อคการทำงานไว้)
ปล. ผมใช้ทั้ง Helio X10(เครื่องแฟน) และ Snapdragon650(เครื่องผมเอง) ตัว Pro ทั้งคู่ครับ
qc1.0 นี่มันก็ชาร์ตธรรมดานั่นแหละ ไม่ได้ไวอะไรเลย
ใช้ตัว snap650 อยู่ มันสุดยอดจริงๆ ลื่นไหล เกมไม่มีสะดุด แบตอึด ดีกว่าตัวtopบางค้ายอีก ^_^
ตัว pro ออกมาแล้วนี่ เห็นวางขาย mbk เก้าพันนิด ๆ
ผมเล่นมาทั้งตัว MTK และ SD
ข้อดีที่ MTK เหนือกว่า
– รอมโมมีให้เล่นเยอะกว่ามาก (สิบกว่ารอม vs 4-5 รอม)
– ถูกกว่า (ประมาณ 1500)
ข้อดีที่ SD เหนือกว่า
– แบตอึดมากก (MTK ก็อึดแล้วนะ)
– เพิ่มเมมได้ (Hybrid)
– เล่นเกมส์ลื่นกว่าแน่นอน
จุดแข็งของ series Redmi note 3 (ทั้ง SD + MTK)
– ตัวเครื่องสวย เรียบหรู ดูดี พรีเมี่ยม (เทียบกับ redmi note2) ผมว่า เป็นรุ่นที่งานออกแบบดูลงตัวที่สุดรุ่นนึงในตลาดเลย งานโลหะให้ความรู้สึกที่ดีพอควรเลย
– แบตอึด แถมชาร์จเร็วพอตัว
– สแกนนิ้ว เร็วดี ติดใจเลย
จุดด้อย
– กล้อง ไม่ถึงขั้นแย่ แต่อยู่ระดับเดียวกับมือถือเกรด5000- เทียบกับพวกOppo นี่ ตายไปเลย
– สแกนนิ้วอยู่ด้านหลัง ถ้าวางบนโต๊ะจะสแกนลำบาก
– ลำโพงอยู่ด้านหลัง วางบนพื้นเสียงหาย
– บั๊กยังมีให้เห็น ก็อัพเดตแก้กันไปเรื่อย แต่ที่ยังเจอคือ บ่อยครั้ง สแกนนิ้วไม่ทำงาน เวลาใส่กระเป๋ากางเกงนานๆ
ใครจะซื้อ แนะนำ รุ่นแรม 3Gb ไปเลยครับ ตัวระบบกินแรมไปเยอะอยู่ + ติดฟิล์มกระจกครับ ภาพสวยใส ไม่ต้องคอยเช็ดรอยนิ้วบ่อยๆ
ใช่ครับ OPPO F1, Find 7A ชนะ MI4C ขาดลอย
ปล.อยากทราบว่า ใส่MyCat+Ais พร้อมกันแล้วใช้3G AIS ได้มั้ยครับ?
เห็นหลายท่านพูดถึงตัว Pro แล้วอยากขายรุ่นนี้ไปหวดมาลองซะเลย
ลองเถอะครับ
มีเพื่อนใรคลับลองมาหลายคน ติดใจกันหมด อิอิ
แต่เรื่องกล้องนี้ ต้องยอมจริงๆว่า ..ตามราคานะ
ไม่ถึงกับห่วย แต่ก็ตามราคาอะนะครับ (แต่ผมว่าตัว Pro กล้องก็โอนะ แต่ โฟกัส ไม่ไวมากเท่านั้นเอง)
ลองเลยครับ รอ review ตัว snapdragon นะครับ อิอิ
ต้องลองตัว 650 ครับ มันดีงามพระรามแปดมากมาย ทั้งลื่น ทั้งอึด นี่ถ้า mi5 ไม่ออก ผมก็ไม่เปลี่ยนเครื่องอ่ะจริงๆ ชอบแสกนนิ้วมากๆแตะแล้วปลดล๊อคได้เลยไม่ต้องเปิดหน้าจอก่อน
ไม่ทราบว่าปล่อยไปรึยังครับ
อยากทราบว่าตอนใช้2Sims เป็นไงบ้างครับ (ถ้าเป็นAis+Mycat)
สั่งออนไลน์ก็มีค่ะ 6 พันกว่าบาทเอง ลองไปดูที่ http://bit.ly/xiaomi-sale
.
หาโค้ดส่วนลดเพิ่มได้อีกทีนี่ http://bit.ly/lazada-coupon-code
.
ผมเพิ่งถอยมาคับราคาใช้ได้คับ.. > [url]http://bit.ly/xiaomi-discount10-store[/url]
ลดเพิ่มลองดูหน้านี้ [url]http://bit.ly/codediscount[/url]
ผมขาย Flash Plus 2 มาใช้ตัวนี้อยู่คับ… เพิ่มเงินนิดหน่อยดีกว่าเยอะคับ..
แนะนำเลย ใครจะ Flash Plus 2 ลองพิจาณาดูตัวนี้เลยคับ
ดูรีิวิว Youtube แล้วพิจาณาคับผมอยากแค่แนะนำ จะมี choice ให้เลือก
ข้อมูลจาก
[url]https://www.facebook.com/mobile5000/posts/1198580156882296[/url]
[url]https://www.youtube.com/watch?v=kG_ehfBTCPE[/url]
อีกนิดคับ… ใครที่จะซื้อพอมีงบลอง Xiaomi mi max มันเพิ่งออกคับ สเปคดีกว่าแต่เพิ่มเงิน
จัดตัวนี้ไปไม่เสียหายเพราะคุ้มค่ากว่า
เป็น Choice ให้เลือก Xiaomi mi max ราคาต่างกัน 6 พันบาท Samsung A9 Pro เทียบกับด้วยตัว Rom 32GB
แนะนำ > [url]http://bit.ly/q-xiaomi-mi-max[/url]
ใครจะซื้อ Samsung A9 Pro ลองพิจารณาดูไว้เป็นตัวเลือกเพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า
– มือถือจอใหญ่ สเปคแรง ราคาประหยัด Samsung A9 pro
สรุป SS A9 Pro ข้อดี
– เด่นเรื่อง VDO แต่ถ่าย 4k ไม่ได้ มี OIS กันสั่น ไมค์รับเสียงได้ดี
– ใส่ Sim 2 ซิมได้พร้อม ( Mi Max เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง )
– Xiaomi Mi Max ขนาดหน้าจอ 6.44 นิ้ว , SS A9 Pro 6 นิ้ว
– SS A9 Pro จอ Super Amoled เด่นเรื่องสีสัน
– CPU Snapdragon 652 เหมือนกันทั้งคู่ Andrino 510
– Mi Max แบต 4,850 mAh / แบต 5,000 mAh
สรุป Xioam Mi MAX
– ประหยัดเรื่องราคาเพราะถูกกว่าหลายพัน
– สเปคด้อยกว่าเรื่องถ่าย VDO
– จอใหญ่ จอ 6.44 นิ้ว
– ถ่าย VDO ได้ 4K
ส่วนเรื่องกล้องว่าพอ ๆ กันน่ะ แต่ SS A9 Pro ส่วนตัวน่าจะ
ถ่ายได้ดีกว่าน่ะ คหสต. ถ้าในที่แสงน้อย SS A9 Pro น่าจะกิน MI MAX
วันนี้มีมือถือมาเป็น Choice ให้เลือก Xiaomi mi max ราคาต่างกัน 6 พันบาท Samsung A9 Pro เทียบกับด้วย Rom 32GB
แนะนำ > [url]http://bit.ly/q-xiaomi-mi-max[/url]
ใครจะซื้อ Samsung A9 Pro ลองพิจารณาดูไว้เป็นตัวเลือกเพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า
– มือถือจอใหญ่ สเปคแรง ราคาประหยัด Samsung A9 pro
สรุป SS A9 Pro จุดเด่น
– เด่นเรื่อง VDO แต่ถ่าย 4k ไม่ได้ มี OIS กันสั่น ไมค์รับเสียงได้ดี
– ใส่ Sim 2 ซิมได้พร้อม ( Mi Max เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง )
– Xiaomi Mi Max ขนาดหน้าจอ 6.44 นิ้ว , SS A9 Pro 6 นิ้ว
– SS A9 Pro จอ Super Amoled เด่นเรื่องสีสัน
– CPU Snapdragon 652 เหมือนกันทั้งคู่ Andrino 510
– Mi Max แบต 4,850 mAh / แบต 5,000 mAh
เวลาเลือกซื้อให้ดูด้วยน่ะคับให้เป็น CPU Snapdragon 652
สรุป Xiaomi MI MAX
– ประหยัดเรื่องราคาเพราะถูกกว่าหลายพัน
– CPU Snapdragon 652 เหมือนกันทั้งคู่ Andrino 510
– สเปคด้อยกว่าเรื่องถ่าย VDO
– จอใหญ่ จอ 6.44 นิ้ว
– ถ่าย VDO ได้ 4K
– รับรอง 2 ซิมแต่ต้องเลือกใส่ sim หรือ SD card
ส่วนเรื่องกล้องว่าพอ ๆ กันน่ะ แต่ SS A9 Pro ส่วนตัวน่าจะ
ถ่ายได้ดีกว่าน่ะ คหสต. ถ้าในที่แสงน้อย SS A9 Pro น่าจะกิน MI MAX