สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน กลับมาพบกันอีกแล้วกับผมนาย laruku วันนี้ขออนุญาตแนะนำมือถือราคาประหยัดไม่เกิน 5,000 บาทอีกหนึ่งรุ่นจาก ZTE มือถือรุ่นนี้มีชื่อว่า “ZTE Blade V7 Lite” ครับ โดยจุดเด่นของมือถือรุ่นนี้คือ ราคาเพียง 4,990 บาท แต่มาพร้อมวัสดุและงานออกแบบเรียกว่าดีงาม แถมสเปกยังเกินราคา รวมไปถึงเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่มีมาให้ ซึ่งหาได้ยากในสมาร์ทโฟนราคาระดับนี้ เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่า

zte-blade-v7-lite-review-title.jpg

 

สเปก ZTE Blade V7 Lite

  • ชื่อและรหัสเครื่อง : ZTE Blade V7 Lite (V0720)
  • สัดส่วน : 143.8 x 70.2 x 7.9 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก : ไม่ได้ระบุ
  • หน้าจอ : IPS LCD 5 นิ้ว ความละเอียด HD 1280 x 720 พิกเซล
  • เครือข่ายที่รองรับ:
    • 4G : LTE 800/850/900/1800/2100/2300/2600

    • 3G : WCDMA 850 / 900 / 2100

    • 2G : GSM 850 / 900 / 1800 / 1900

  • SIM : 2 SIM แบบ Nano SIM (Dual standby)
  • CPU : MediaTek MT6735P Quad-core 1.0 GHz
  • GPU : Mali-T720MP2
  • RAM : 2GB
  • หน่วยความจำภายใน : 16GB รองรับ microSD card สูงสุดที่ 32GB (ช่อง Hybrid)
  • กล้องหน้า : 8 ล้านพิกเซล FF พร้อม LED flash
  • กล้องหลัง : 13 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ AF และ LED flash
  • แบตเตอรี่ : 2500mAh (ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้)
  • OS : Android 6.0 Marshmallow พร้อม MiFavor UI 3.5
  • สแกนลายนิ้วมือ : มี (0.3 วินาที)
  • NFC : ไม่มี
  • OTG : มี
  • ไฟแจ้งเตือน: มี
  • Gyrometer: มี
  • เซ็นเซอร์และการเชื่อมต่ออื่นๆ:
    • GPS, A-GPS

    • Wi-Fi 802.11 b/g/n

    • Bluetooth 4.0, A2DP

    • microUSB 2.0

    • หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

    • Accelerometer, Proximity, Light, Gyrometer

  • สีที่มีให้เลือก : เงินและทอง

zte-blade-v7-lite-review-spec.jpg

 

แกะกล่องเช็คของ

สำหรับกล่องของ Blade V7 Lite นั้นเป็นแบบกระดาษแข็งที่ใช้กันทั่วไป อุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องของ Blade V7 Lite มีดังต่อไปนี้

  • ตัวเครื่อง Blade V7 Lite
  • ฟิล์มกันรอย
  • สาย USB
  • Adapter 5V 1A
  • หูฟัง Smalltalk แบบ in-ear
  • เข็มจิ้มซิม
  • คู่มือและใบรับประกัน

zte-blade-v7-lite-review-spec.jpg

 

งานออกแบบและวัสดุ

ZTE Blade V7 Lite ถึงแม้จะเป็นมือถือราคาประหยัด แต่งานออกแบบและวัสดุที่ใช้เป็นโลหะมากกว่าพลาสติกและงานประกอบ Unibody ทำให้ความรู้สึกในการสัมผัสนั้นมีความหรูเกินราคาพอสมควร ตัวเครื่องมีความบางเพียง 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนักเบา ผิวสัมผัสแบบด้าน ไม่มีความมัน มีความหรูหราในทุกมุมมอง โดยตัวเครื่องมีแสตมป์ไว้ด้านหลังว่า “Designed by MunichDesignCenter” เพื่อเน้นว่ามือถือรุ่นนี้ออกแบบในเยอรมันนั่นเอง หากมองหามือถือราคาไม่ถึง 5,000 บาท แต่ได้วัสดุระดับนี้ ผมว่าน่าจะหายากสักหน่อยนะครับ เรามาดูรอบตัวเครื่องกัน

zte-blade-v7-lite-review-design01.jpg

ด้านบนของตัวเครื่องเรียบๆ มีเพียงรูเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

zte-blade-v7-lite-review-design02.jpg

ด้านล่างของตัวเครื่องมีพอร์ต microUSB อยู่ตรงกลาง ส่วนรูด้านซ้ายเอาไว้สำหรับไมค์สนทนานั่นเอง

zte-blade-v7-lite-review-design03.jpg

ด้านหน้าประกอบด้วยหน้าจอขนาด 5 นิ้วความละเอียด HD 720p ปิดด้วยกระจกโค้ง 2.5D ตอนที่หน้าปิดอยู่จะดูเหมือนว่า ไม่มีหน้าขอบหน้าจอ แต่พอหน้าจอติดขึ้นมาก็จะเห็นว่าขอบยังมีอยู่เช่นเดิม

zte-blade-v7-lite-review-design04.jpg

ส่วนบนของหน้าจอประกอบด้วยลำโพงสนทนาอยู่ตรงกลาง ฝั่งซ้ายเป็นไฟแฟลชสำหรับการถ่าย Selfie โดยเฉพาะ ฝั่งขวาได้แก่ กล้องหน้าและจุดรวมเซ็นเซอร์ต่างๆ ได้แก่ Proximity และ Light sensor นั่นเอง

zte-blade-v7-lite-review-design05.jpg

ส่วนล่างของหน้าจอเป็นแผงปุ่มกดแบบ capacitive โดยปุ่มกลางเป็นปุ่ม Home ส่วนด้านซ้ายและขวาเป็นปุ่ม Back และปุ่ม Menu ที่สามารถเลือกสลับกันได้ใน Settings

zte-blade-v7-lite-review-design06.jpg

ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power และช่องใส่ซิมอยู่ด้านบน

zte-blade-v7-lite-review-design07.jpg

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับเสียงแบบ Volume Rockr อยู่

zte-blade-v7-lite-review-design08.jpg

ด้านหล้งของตัวเครื่องมีกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ไฟแฟลชอยู่ข้างซ้าย และข้างล่างเป็นบริเวณสำหรับสแกนลายนิ้วมือ

zte-blade-v7-lite-review-design09.jpg

ส่วนล่างเป็นลำโพงคู่สเตริโอที่ให้เสียงที่ดังและชัดเจนดีมาก เสียดายที่วางตำแหน่งไว้รวมกันฟากเดียวของมือถือ เวลาดูวิดีโอจะแยกเสียงซ้ายขวาไม่ออก

zte-blade-v7-lite-review-design10.jpg

ถาดใส่ซิมของมือถือรุ่นนี้เป็นแบบ hybrid รองรับ 2 ซิมแบบ NanoSIM โดยช่อง SIM 2 จะเปลี่ยนเป็นใส่ microSD card แทนได้ด้วย แต่จะใส่ 2 ซิมพร้อมกับ microSD card ไม่ได้ครับ

zte-blade-v7-lite-review-design11.jpg

โดยรวม ZTE Blade V7 Lite มีงานออกแบบที่พรีเมียมเกินค่าตัวไปพอสมควร ผมลองให้คนอื่นๆลองจับถือตัวเครื่องและบอกราคา ไม่มีใครเชื่อว่านี่คือมือถือราคาไม่ถึง 5,000 บาท ดังนั้นสำหรับคนที่เน้นหน้าตาของมือถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อ รุ่นนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับ

zte-blade-v7-lite-review-design12.jpg

 

ระบบซอฟต์แวร์

ZTE Blade V7 Lite มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow รุ่นล่าสุดเรียบร้อย แต่จะมีการปรับหน้าตาและ Launcher ให้เป็นของตัวเองเรียกว่า MiFavor UI 3.5 หลักๆคือ Launcher จะไม่มี App Drawer ตามเทรนด์ของมือถือประเทศจีนหลายยี่ห้อในปัจจุบัน สำหรับ Android security update ยังเป็นของเดือนกุมภาพันธ์ 2016 อยู่ ตรงนี้ต้องรอดูว่าทาง ZTE จะอัพเดตเรื่องความปลอดภัยให้หรือเปล่านะครับ

zte-blade-v7-lite-review-software01.jpg

ในส่วนของ Notification shade หรือแถบแจ้งเตือนนั้นมีการปรับจาก Stock Android นิดหน่อยตรงที่จะมีการแสดง Toggles แถวแรกไว้ให้ใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็น Toggles หลักที่เราใช้กันประจำไม่ว่าจะเป็น Wifi, Data, Sound mode และ Location เมื่อเอานิ้วลากลงมาอีก step จะเห็น Toggles แบบครบชุดรวมไปถึงแถบสำหรับปรับความสว่างของหน้าจอด้วย

zte-blade-v7-lite-review-software02.jpg

ในส่วนของการปรับแต่ง Launcher นั้นเราสามารถกดปุ่ม Menu เพื่อเลือกปรับ Wallpaper, Icon และ Effect ของหน้า Home ได้ และถ้ากดค้างที่ปุ่ม Menu จะเป็นการเปิดหน้า Task manager ขึ้นมาสลับแอพหรือปิดแอพได้ด้วยครับ

zte-blade-v7-lite-review-software03.jpg

Fingerprint

จุดเด่นอย่างหนึ่งของ Blade V7 Lite คือมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย ทั้งที่ราคาขายแค่ 4,990 บาทเท่านั้น เรียกว่าน่าจะมีไม่กี่รุ่นที่กล้าให้ขนาดนี้ เราสามารถลงทะเบียนนิ้วมือสำหรับการสแกนได้สูงสุด 5 นิ้ว ในส่วนของฟีเจอร์ Fingerprint ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง

  • Unlock : การปลดล็อคหน้าจอด้วยลายนิ้วมือ ฟีเจอร์พื้นฐานของการสแกนลายนิ้วมือ ซึ่งรุ่นนี้สามารถทำได้ แต่หน้าจอต้องเปิดอยู่เท่านั้น ไม่สามารถปลดล็อคเครื่องได้ตอนที่หน้าจอดับอยู่นะครับ แก้ไข: โดยค่าเริ่มต้น (Default) ที่ตั้งไว้จะปลดล็อคได้เฉพาะตอนที่หน้าจอเปิดอยู่ เราต้องเข้ามาตั้งค่าด้วยการแตะที่คำว่า Unlock จะมีตัวเลือกมาให้เลือกว่า “ให้สามารถปลดล็อคได้ตอนที่หน้าจอดับอยู่ (Use fingerprint to unlock when screen is locked or off)” แต่มีคำแจ้งเตือนเพิ่มเติมว่า “อาจจะทำให้แบตเตอรี่ลดลงเร็วกว่าปกติ (may consume battery quickly)” ด้วยนะครับ จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ ZTE ไม่เปิดให้ตั้งแต่แรก 

  • App lock : การล็อคแอพไว้ให้สามารถเปิดได้ด้วยการสแกนลายนิ้วมือเท่านั้น ไม่สามารถเปิดได้ด้วยวิธีปกติ

  • Simple touch : การปลดล็อคหน้าจอแล้วเปิดแอพที่ต้องการในทันที โดยเลือกได้สูงสุด 5 แอพตามจำนวนลายนิ้วมือที่ลงทะเบียนไว้

  • Finger-touch : ใช้การสแกนลายนิ้วมือเพื่อทำหน้าที่พิเศษหลายๆอย่าง เช่น ใช้เป็นปุ่ม Back, ใช้เป็นปุ่มชัตเตอร์ถ่ายรูป, ใช้เปิดปิดไฟฉาย หรือแตะสองทีเพื่อ Capture screen ก็ทำได้เช่นกัน

zte-blade-v7-lite-review-software04.jpg

 

Gesture & Motion

เป็นฟีเจอร์ที่อาศัยการวาดบนหน้าจอและการขยับเครื่องในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เครื่องทำงานบางอย่างที่ต้องการได้ ขออนุญาตอธิบายพอสังเขปดังนี้

  • Air gestures : ตอนที่หน้าจอดับอยู่ เราสามารถกดปุ่มปรับเสียงค้างไว้ แล้วขยับตัวเครื่องเป็นตัวอักษร แล้วปล่อยปุ่มปรับเสียง เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างได้ เช่น ขยับเป็น M เพื่อเปิดเพลง, ตัว O เพื่อหยุดเพลง, ตัว V เพื่อเปิดกล้อง และตัว Z เพื่อเปิดหน้าโทรศัพท์ เป็นต้น

  • Black screen gestures : เราสามารถเอานิ้ววาดบนหน้าจอตอนที่ดับอยู่เพื่อให้เปิดแอพหรือเลื่อนเปลี่ยนเพลงที่กำลังฟังอยู่ได้ เช่น วาดตัว C เปิดโทรศัพท์, วาดตัว O เปิด Chrome หรือ วาดตัว M เปิดแอพ Music เป็นต้น

  • Double tap to wake : เราสามารถแตะหน้าจอสองครั้งเพื่อเปิดหน้าจอได้

zte-blade-v7-lite-review-software05.jpg

ฟีเจอร์พอสังเขปขอ MiFavor UI 3.5 ก็เป็นอย่างที่อธิบายไปด้านบน โดยรวมเรื่องซอฟต์แวร์ของ Blade V7 Lite ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างสมบูรณ์ มีฟีเจอร์ที่สามารถใช้งานได้จริงและมีประโยชน์ สามารถปรับแต่งหน้า Home ได้ตามเหมาะสม Bloatware ก็น้อยไม่เบียดเบียนเนื้อที่ในเครื่องมากนัก หรือถ้าใครไม่ชอบ Launcher ก็สามารถเลือกเปลี่ยนไปใช้อันอื่นได้ ตามที่มีให้โหลดใน Play store ซึ่งเป็นข้อดีของ Android อยู่แล้วครับ

 

ประสิทธิภาพและความอึดของแบต

Blade V7 Lite มาพร้อมกับชิปเซต MediaTek MT6735P Quad-core ความเร็วสูงสุด 1.0 GHz พร้อม RAM 2GB ประสิทธิภาพของ CPU นั้นจัดอยู่ในระดับ Entry-level ตามราคาของมือถืออยู่แล้ว แต่ RAM 2GB นั้นเข้ามาช่วยเรื่องการเปิดใช้งานแอพในปัจจุบันที่กินหน่วยความจำค่อนข้างมากให้ดีขึ้น ดังนั้นเราคงจะมาหวังประสิทธิภาพระดับสูง เล่นเกมส์ลื่นไหลไม่มีสะดุด คงจะเป็นไปไม่ได้ คะแนน benchmark ที่ออกมาพอจะบอกอะไรได้อยู่

zte-blade-v7-lite-review-performance01.jpg

Antutu Benchmark

โดยรวมการใช้งานในโลกความเป็นจริงของมือถือรุ่นนี้ถือว่า น่าพอใจและเพียงพอความต้องการพิ้นฐาน การเปิดแอพและการตอบสนองการสัมผัสทำได้ดี ความลื่นไหลถือว่าดี เพราะ Android 6.0 มีการปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพสำหรับมือถือสเปกไม่สูงมากให้ใช้งานได้ดีอยู่แล้ว การใช้งานแอพ Social อย่าง Facebook และ Line ไม่มีปัญหาเรื่องการแจ้งเตือนเหมือนกับมือถือบางรุ่น นับว่า ZTE มาความใส่ใจทดสอบเรื่องแอพที่คนไทยใช้เป็นส่วนมาก สำหรับการเล่นเกมส์นั้นพอเล่นได้ แต่ไม่เหมาะกับเกมส์ 3D สักเท่าไหร่ เรียกได้ว่ามือถือรุ่นนี้เน้นใช้งาน ไม่เน้นเล่นเกมส์นะครับ

zte-blade-v7-lite-review-performance02.jpg

Geekbench 3

ในส่วนของแบตเตอรี่ขนาด 2500mAh ที่ให้มาถือว่ารองรับการใช้งานได้ 1 วันแบบสบายๆ ผมสามารถใช้งานมือถือเครื่องได้ 15-16 ชม.ต่อวัน โดยมีระยะเวลา Screen on อยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมง เรียกว่าแบตอึดใช้งานได้เพียงพอความต้องการเลยครับ

zte-blade-v7-lite-review-performance03.jpg

 

กล้องถ่ายรูป

ในส่วนของกล้องนั้น ZTE Blade V7 Lite มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และระบบ Autofocus หน้าตา UI ของกล้องถือว่าทำได้ให้ใช้งานได้ง่าย ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ด้านซ้ายเรียงจากบนลงล่างประกอบด้วย ปุ่มสลับกล้องหน้า-หลัง, ปุ่มสลับโหมด Auto และ Pro และปุ่มเปลี่ยนโหมด Flash ด้านขวาจากบนลงล่างประกอบด้วย ปุ่มปรับ Filter และ Preview รูปอยู่คู่กัน ถ้ดลงมาเป็นปุ่มชัตเตอร์และปุ่มเข้าโหมดถ่ายวิดีโอ ด้านล่างสุดเป็นโหมดเสริม เช่น Panorama หรือ Beautify และปุ่ม Settings ของกล้อง

zte-blade-v7-lite-review-camera01.jpg

 

zte-blade-v7-lite-review-camera02.jpg

Filter สำหรับการถ่ายรูป

 

zte-blade-v7-lite-review-camera03.jpg

โหมดเสริมสำหรับการถ่ายรูป

ส่วนที่น่าแปลกใจอีกอย่างคือมือถือรุ่นนี้มี “โหมด Pro” มาให้ใช้งานด้วยครับ ซึ่งในโหมดนี้เราสามารถปรับค่าการถ่ายรูปได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น Shutter speed, ISO, EV หรือ AWB นอกจากนั้นยังสามารถเลือกจุดวัดแสงและจุดโฟกัสแยกกันได้อีกด้วย

zte-blade-v7-lite-review-camera04.jpg

Professional mode

zte-blade-v7-lite-review-camera05.jpg

Shutter speed ปรับได้ตั้งแต่ 1/3s ถึง 1/1000s

zte-blade-v7-lite-review-camera06.jpg

ISO ปรับได้ตั้งแต่ 100 – 1600

สำหรับคุณภาพของรูปถ่ายจากมือถือรุ่นนี้ก็ถือว่าตามราคาของมือถือนะครับ การถ่ายภาพตอนกลางวันทำได้ตามมาตรฐาน ภาพมีความคมชัด เก็บรายละเอียดได้ดี สีสันสวยงาม แต่การถ่ายในสภาพแสงน้อยคือจุดอ่อน เพราะถ่ายให้ชัดยากมาก มือต้องนิ่งจริงๆ และรูปที่ออกมาก็แตก รายละเอียดหายไปเยอะครับ มาดูตัวอย่างรูปถ่ายกันดีกว่า

 

บทสรุป

ZTE Blade V7 Lite เป็นมือถือที่จัดว่ามีคุณภาพดีคุ้มราคา 4,990 บาทที่เราต้องจ่ายไปแน่นอนครับ จุดเด่นที่สุดไม่ได้อยู่ที่สเปก แต่เป็นงานออกแบบและงานประกอบชั้นดี วัสดุที่ใช้เป็นโลหะส่วนใหญ่ ทำให้เครื่องมีความหรูหราเกินราคาค่าตัวไปเยอะ นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่หาได้ยากในมือถือราคาระดับนี้อีกด้วย ส่วน Software ก็ให้มาเป็น Android 6.0 Marshmallow รุ่นล่าสุดอย่างเป็นทางการในปัจจุบันเป็นที่เรียบร้อย ขาดก็แต่ Android security update ที่ยังเป็นเวอร์ชันเก่าอยู่ ซึ่งต้องรอดูอีกทีว่า ZTE จะอัพเดตให้หรือไม่ นอกจากนั้นแบตเตอรี่ก็ถือว่าอึดใช้ได้เลยครับ

zte-blade-v7-lite-review-end.jpg

จุดที่คิดว่าสามารถปรับปรุงได้สำหรับมือถือรุ่นนี้คือ กล้องถ่ายรูปที่น่าจะดีกว่านี้, การวางตำแหน่งลำโพงที่อาจจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากระบบสเตอริโอเท่าใดนัก และสเปกในส่วนของ CPU นั้นน่าจะเพิ่มได้อีกหน่อย เลือกใช้เป็น MT6735 ได้ก็น่าจะดีเลยครับ

ZTE Blade V7 Lite พร้อมวางจำหน่ายแล้วในราคาสุดคุ้มค่าเพียง 4,990 บาท มีสองสีให้เลือกคือ เงินและทอง และพิเศษช่วงนี้ ZTE ร่วมกับ AIS ทำโปรโมชั่น AIS Smart Deal เมื่อซื้อเครื่อง Blade V7 Lite พร้อมแพ็กเกจ จ่ายราคาเครื่องเพียง 1,990 บาทเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 กรกฎาคมเท่านั้นครับ

zte-blade-v7-lite-review-ais.jpg

 

เปรียบเทียบ ZTE Blade V7 Lite vs Flash Plus 2

มีเพื่อนสมาชิกถามเข้ามาว่า Blade V7 Lite เทียบกับ Flash Plus 2 แล้วมีความแตกต่างกันตรงไหนบ้าง? น่าสนใจครับ เพราะราคาของทั้งสองรุ่นเท่ากันเลยที่ 4,990 บาท (รุ่น RAM 2GB / ROM 16GB) และทั้งสองรุ่นเป็นมือถือบอดี้โลหะเหมือนกัน มีสแกนลายนิ้วมือเหมือนกัน เรามาดูจุดต่างกันดีกว่า

  1. หน้าจอ: Blade V7 Lite มีขนาด 5 นิ้ว 720p vs Flash Plus 2 มีขนาด 5.5 นิ้ว 1080p อันนี้จะส่งผลต่อขนาดเครื่องด้วย ก็แล้วแต่คนชอบหน้าจอใหญ่หรือเล็กนะครับ ส่วนเรื่องความชัด Flash Plus 2 จะชัดกว่าตามสเปก แต่มองด้วยตาเปล่า ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
  2. หน่วยประมวลผล: Blade V7 Lite ใช้ MT6735P vs Flash Plus 2 ใช้ Helio P10 อันนี้คนละระดับต่างกันชัดเจน Flash Plus 2 จะดีกว่าพอสมควรทั้ง CPU และ GPU
  3. กล้อง Selfie: Blade V7 Lite มีกล้องหน้า 8 MP พร้อม Flash vs Flash Plus 2 กล้องหน้า 5MP ไม่มีแฟลช ดังนั้น Blade V7 Lite จะตอบโจทย์สำหรับคนชอบถ่าย Selfie มากกว่าแน่นอน
  4. แบตเตอรี่: Blade V7 Lite 2500mAh vs Flash Plus 2 3000mAh บอกได้แค่ตัวเลขครับ ส่วนความอึดในการใช้งานจริงต้องได้เครื่องมารีวิวซะก่อน
  5. ถาดซิม: Blade V7 Lite ใช้ถาดซิมแบบ hybrid vs Flash Plus 2 มีช่องใส่ซิมแยกกับ microSD ดังนั้นสำหรับคนที่อยากใช้ 2 ซิมพร้อมกับ microSD card ด้วย คงต้องเลือก Flash Plus 2 ครับ
  6. OS: ทั้งสองรุ่นเป็น Android 6.0 Marshmallow เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ UI โดย Blade V7 Lite มี UI ของตัวเองเรียกว่า MiFavor UI vs Flash Plus 2 ที่ใช้ Stock Android เลย อันนี้แล้วแต่คนชอบครับ
  7. การหาซื้อ: Blade V7 Lite สามารถหาซื้อได้ตามร้านทั่วไป vs Flash Plus 2 ต้องซื้อผ่าน Lazada เท่านั้น

พอสังเขปเท่านี้ก่อน ถ้าเพื่อนสมาชิกมีอะไรเพิ่มเติมสามารถ comment บอกได้เลยครับ