เนื่องจากผมได้สั่ง Moto 360 มาใช้งานก็เลยขอรับหน้าที่ทำรีวิวซะเลยดีกว่า โดยตั้งใจว่าจะเอามาใช้งานส่วนตัวแล้วก็เอาไว้ Development ตามแต่ไอเดียจะบรรเจิด แต่ก่อนอื่นก็ขอทำพรีวิว Unboxing เจ้า Android Wear ตัวนี้ที่ใครๆหลายคนนั้นหมายปองกัน เพื่อเรียกน้ำย่อย (และยั่ว) ผู้อ่านกันซักหน่อยดีกว่า 😀

 

 

 สเปคโดยคร่าวๆจะมีดังนี้

      OS : Android 4.4W (ล่าสุดเป็น Android 4.4W.1)

      CPU : TI OMAP 3 1GHz

      Display : Backlit LCD ขนาด 1.56 นิ้ว ความละเอียด 320×290 พิกเซล (205dpi) ใช้ Gorilla Glass 3

      RAM : 512MB

      ROM : 4GB (ต้องบอกหรือป่าวว่าใส่ SD ไม่ได้น่ะ?)

      Connectivity : Bluetooth 4.0 Low Energy

      Battery : 320 mAh (ชาร์จไร้สาย)

      Hardware : Light Sensor, Accelerometer, Geyoscope, Magnetic Sensor, Optical Heart Rate Sensor, Vibrator Motor, Physical Button และ Dual Microphones

      Compatible Android Device : Android 4.3 ขึ้นไปที่มี Bluetooth 4.0 

      Dust/Water Resistance : IP67

 

      ตัวกล่องมีลักษณะกลมให้ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่ซื้อ Sony DSC-QX10 เลย แต่กว้างกว่าและเตี้ยกว่า ดูดีกว่า มีตระกูลกว่า ไฮโซกว่า (เวอร์ไปละ) ตัวกล่อง (ส่วนล่าง) สีดำ ส่วนฝากล่อง (ส่วนบน) เป็นสีขาว 

 

      มีสายคล้องสำหรับห้อยด้วยล่ะ~ (ห้อยบน Shelf ขายของหรอ?) 

 

      ข้างๆกล่องก็จะมีบอกรายละเอียดคร่าวๆของ Moto 360 โดยตัวที่ผมซื้อมาเป็นสายหนังสีดำ ตัวเรือนก็สีดำ

  

      เมื่อเปิดฝากล่องออกมาก็จะพบกับเจ้านาฬิกาคู่ใจนอนรออยู่ (ฝากล่องจะติดเทปซีลกับกล่องไว้ทั้งสามด้านนะ)

 

      สังเกตที่ใต้ฝากล่องก็จะเห็นว่ามีภาพ Outline สีขาวของ Moto 360 และโฟมสีดำนิ่มๆติดอยู่ด้วย เพื่อป้องกันหน้าจอกระแทก (พึ่งเคยเจอสินค้าที่ทำแบบนี้ เลยแอบปลื้มเล็กน้อย)

 

สำหรับไส้ในของกล่องที่ใส่ Moto 360 อยู่ ให้ดึงออกมาได้เลย

 

      สำหรับข้างในกล่องที่ให้มาก็จะมี Moto 360, อะแดปเตอร์ 5V 550mA, Wireless Charger Dock และคู่มือสองเล่มเล็กๆ

 

 

        สำหรับอะแดปเตอร์ที่ให้มาจะเป็นแบบปลายด้านหนึ่งเป็น Micro USB และอีกด้านเป็นหัวปลั๊กเลย ต่างจากของ Moto X ที่ให้เป็นอะแดปเตอร์แยกกับสาย Micro USB มา

 

        มีระบุไว้ชัดเจนว่าใช้กับไฟบ้าน 100-240V ที่ความถี่ 50 กับ 60Hz ได้ไม่มีปัญหา และ Output ออกมาเป็น 5.0V 550mA ซึ่งจะน้อยกว่าอะแดปเตอร์สำหรับสมาร์ทโฟนทั่วๆไป (5V 1A) และผลิตที่อินเดียล่ะ~

 

        Wireless Charger Dock (ขอเรียกสั้นๆว่า “แท่นชาร์จ”) จะเป็นแท่นวางสำหรับ Moto 360 โดยเฉพาะ ซึ่งใช้วิธีการชาร์จแบบไร้สาย ซึ่งต่างจาก LG G Watch ที่ต้องต่อแท่นชาร์จที่เป็นขั้วต่อ 

 

      ด้านหลังของแท่นชาร์จเป็นช่องเสียบสาย Micro USB สามารถใช้กับสายแบบทั่วๆไปก็ได้ (ตอนผมชาร์จก็ใช้กับอะแดปเตอร์และสายของ Moto X แทน)

 

      ที่ด้านหน้าจะสังเกตเห็นว่าข้างล่างมีไฟ LED สีขาวอยู่ เอาไว้แสดงสถานะว่ากำลังชาร์จอยู่หรือไม่ เพราะว่า Moto 360 ถ้าปิดเครื่องชาร์จ จะไม่มีการบอกที่ตัวเครื่องว่ากำลังชาร์จอยู่เหมือนแบบ Moto X ดังนั้นวิธีดูก็คือให้ดูที่ไฟดังกล่าว โดยไฟดังกล่าวจะติดก็ต่อเมื่อกำลังชาร์จอยู่

 

      สำหรับการชาร์จก็ไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่วาง Moto 360 บนแท่นชาร์จ แล้วดูที่ไฟ LED ที่อยู่ข้างล่างก็พอ ถ้า Moto 360 เปิดอยู่ก็จะเข้า Dock Mode ให้อัตโนมัติ (มี Dock Mode ด้วยยยยยยยย) จึงสามารถทำเป็นแท่นนาฬิกาเวลาเข้านอนก็ได้ โดยจะมีเวลากับ %แบตแสดงให้เห็น โดยที่ %แบตจะมีเส้นวงกลมสีฟ้าอยู่รอบๆ อันนี้คือ Progress หรือแสดง %แบตนั่นแหละ ถ้าแสดงแค่ครึ่งเดียวก็คือ 50% และถ้าเต็มวงก็คือ 100%

 

      และในกล่องก็มีคู่มือเล็กๆให้มาสองเล่ม เล่มแรกเป็นเกี่ยวกับรายละเอียดของมาตรฐานความปลอดภัยในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนอีกเล่มเป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆ (แค่สามหน้า) กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีคู่มือการใช้งานแถมมาให้อ่านกันแล้ว…

 

        จากนั้นก็มาดูกันที่ตัวเครื่องกันดีกว่า โดยหน้าจอจะมีลักษณะเหมือนจะวงกลม แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะ เพราะจะมีขอบอยู่ข้างล่างเนื่องจากต้องมีเซ็นเซอร์วัดแสง จึงเป็นที่มาว่าทำไมหน้าจอความละเอียด 320x290px 

 

        ตำแหน่งของเซ็นเซอร์วัดแสงจะอยู่ชิดริมล่าง ซึ่งมองเห็นยากเหมือนกันนะ (แต่ถ่ายให้เห็นนั้นยากกว่า)

 

 

      ดังนั้นเวลาแสดงผลก็จะถูกตัดขอบล่างออกไป (ไม่สวยเบยยยย แต่ก็ต้องยอมเพื่อขอบบางๆ)

 

      ด้านข้างซ้ายจะมีรูเล็กๆซึ่งเป็นรูไมค์

 

      ด้านขวาเป็นปุ่มกดสำหรับเปิด-ปิดหน้าจอแสดงผล 

 

        ด้านหลังมี Heart Rate Sensor สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และมีรายละเอียดบอกคร่าวๆเช่น เซ็นเซอร์นับก้าว, เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, ชาร์จไร้สาย และกันน้ำกันฝุ่น IP67

 

      สำหรับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เวลาทำงานก็จะยิงไฟสีเขียวออกมาให้เห็น

 

        ตัวสายเป็นสายหนังสีดำ ซึ่งมีให้เลือกสามแบบ เทา ดำ ลายหิน ส่วนสายโลหะยังไม่มา (สิ้นปี) โดยหนังที่นำมาทำเป็นสายจะผลิตจาก Horween Leather ที่เป็นบริษัททำเครื่องหนังโดยเฉพาะ (แอบไฮโซเหมือนกันนะเนี่ย) โดยมีสลักชื่อบริษัทไว้ใต้สายด้วย

 

      ส่วนตัวหน้าปัด ตัวกระจกจะนูนสูงกว่าตัวเรือนเล็กน้อย และมีการเจียมุมโดยรอบ ทำให้ภาพบริเวณขอบดูเหลื่อมๆ ขัดลูกตาเล็กน้อย (ดันไปสังเกตเห็นเอง…)

 

      ลองเทียบกับ Pebble ที่เคยใส่อยู่ (เพราะถูกปลดประจำการแล้ว ณ ตอนนี้)

 

      สำหรับขนาดของจอ หลายๆคนบอกกันว่ามันดูใหญ่เกินไป ซึ่งก็ใหญ่จริงๆแหละ เมื่อเทียบกับ Pebble หรือ Smartwatch ตัวอื่นๆ แต่พอเทียบกับนาฬิกา Handmade ตัวเก่าที่เคยใส่ก็ใหญ่กว่าแค่นิดเดียวเอง 

      ดังนั้นผมก็เลยรู้สึกว่าหน้าจอมันไม่ได้ใหญ่ซักเท่าไร เมื่อลองเทียบกับภาพตอนที่ผมใส่ดูแล้วก็ไม่ได้ใหญ่เวอร์นัก ทั้งๆที่ผมเป็นคนที่มีข้อแขนเล็ก (แต่อย่างอื่นไม่เล็กนะครับ~)

 

      และเมื่อใช้งานคู่กับ Moto X รู้สึกได้เลยว่านี่มันคู่หูที่ลงตัวกันโดยแท้!! (ถึงแม้ Moto X จะขาว ส่วน Moto 360 จะดำก็ตาม) เอ๊ะ หรือว่าผมเป็นติ่ง Motorola กันแน่เนี่ย!?

 

 

      เรียกน้ำย่อยแค่นี้พอล่ะ ไว้รอกันแบบเต็มๆจัดหนักกันในสัปดาห์หน้าละกัน ระหว่างนี้ขอตัวไปฝึกซ้อมแข่งเกมในงานของ Droidsans ที่งาน Thailand Mobile Expo ก่อนละ!! 

      ใครอยากจะยลสามารถเจอกันได้ที่งานแข่งเกมนะครับ แล้วก็บูธ Wearable Device ภายในงานครับ (คนละตัวกับของผม) สำหรับนักพัฒนาก็สามารถยลได้ที่งาน Android Developer Day ณ วันนั้นเช่นกันนะครับ 55555