เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับมือถือสเปคเทพสุดพรีเมียมของ Apple อย่าง iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งตรงนี้เราก็เพิ่งทำบทความเปรียบเทียบสเปคไปหมาดๆ มาในบทความนี้เรามาดูถึงไฮไลท์และฟีเจอร์หลักๆ ของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นกันดีกว่าว่าจะมีอะไรเด็ดๆ บ้าง

1. iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น มากับหน้าจอ Super Retina XDR (OLED)

มาคราวนี้ Apple ได้ตัดสินใจเลือกใส่หน้าจอ OLED ให้กับ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นมาทั้งหมด ไม่มีรุ่นไหนใช้หน้าจอแบบ LCD แล้ว โดยหน้าจอ Super Retina XDR ของ iPhone 12 Pro และ Pro Max นั้น สามารถดันค่าความสว่างหน้าจอไปได้มากสุดถึง 1,200 nits และมีค่า Contrast Ratio ที่สูงถึง 2,000,000:1 เลยทีเดียว

2. กระจกหน้าครอบทับด้วย Ceramic Shield รับแรงกระแทกได้ดีกว่าเดิม 4 เท่า

โดย Apple ได้จับมือร่วมกับ Corning บริษัทผลิตกระจกนิรภัยชั้นนำชื่อดังของโลก ช่วยกันเคลือบหน้าจอของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นด้วย Ceramic Shield ที่ทาง Apple เคลมว่าแข็งแกร่งที่สุดในสมาร์ทโฟน ณ ตอนนี้ อีกทั้งยังทนแรงกระแทกจากการตกหล่นได้มากกว่าเดิมถึง 4 เท่าเลยด้วยกัน เรียกว่าต่อไปนี้หากเผลอพลาดทำตก ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่ากระจกจะแตก (แต่ก็ไม่ควรทำตกอยู่ดี)

3. ตัวเครื่องที่ทำจากโลหะเกรดเดียวกับที่ใช้ในการแพทย์

ถึงแม้ว่าวัสดุตัวเครื่องของ iPhone 12 Series จะใช้โลหะและกระจกเหมือนกับมือถือรุ่นอื่นๆ แต่โลหะของมือถือซีรีส์ ไม่ใช่ธรรมดา เพราะมันเป็นโลหะเกรดเดียวกับที่ใช้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Surgical Grade) เช่นพวกมีดผ่าตัด, กรรไกร, คีม ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะแข็งแกร่งทนทานต่อการกระแทกแล้ว มันยังทนทานต่อการกัดกร่อนจากสารเคมีหรือจากกรดอีกต่างหาก

4. ชิปเซ็ต A14 Bionic แรงกว่ารุ่นอื่นๆ ในสมาร์ทโฟน 50% 

iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต A14 Bionic ที่ Apple บอกว่าเป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตขนาด 5 นาโนเมตร ซึ่งในส่วนนี้ทาง Apple เคลมว่าตัว A14 นั้นจะมีประสิทธิภาพ CPU และ GPU ที่ดีกว่าชิปรุ่นอื่นๆ ในตลาดตอนนี้ถึง 50%

แถมใน A14 Bionic ยังมีการอัดตัวรับส่งสัญญาณมามากถึง 1.18 หมื่นล้านตัวเลยทีเดียว หน่วยประมวลผล Neural Engine ดีขึ้นกว่าเดิม 80%

5. รองรับการใช้งาน 5G ทั้งแบบ Sub-6 GHz และ mmWave

iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น สามารถใช้งาน 5G ได้ทั้งแบบ Sub-6 GHz และ mmWave โดยคลื่นความถี่ 5G ที่ iPhone ทั้ง 4 รุ่นรองรับ จะมีดังนี้

  • 5G NR (Bands n1, n2, n3, n5, n7, n8, n12, n20, n25, n28, n38, n40, n41, n66, n71, n77, n78, n79)
  • 5G NR mmWave (Bands n260, n261)

6. กล้องหลังสูงสุด 3 ตัว มีโหมด Apple ProRAW ถ่าย RAW ความละเอียดสูง

iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย

  • Wide: Wide: 12MP f/1.6 เลนส์ 7 ชิ้น รองรับ OIS, 100% Focus Pixel, 1.7 µm (ใน iPhone 12 Pro เป็น 1.4 µm)
  • Ultra-Wide: 12MP f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา
  • Telephoto: 12MP f/2.2 (ใน iPhone 12 Pro เป็น f/2.0)

ส่วน iPhone 12 Mini และ iPhone 12 จะใส่กล้องหลังมาให้เพียง 2 ตัวเท่านั้น

  • Wide: 12MP f/1.6 เลนส์ 7 ชิ้น รองรับ OIS, 100% Focus Pixel
  • Ultra-Wide: 12MP f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา

โดยกระจกเลนส์ของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นจะถูกครอบทับด้วย Sapphire Crystal หายห่วงเรื่องเป็นรอยขนแมว หรือรอยต่างๆ ได้เลย

สำหรับการถ่ายภาพนิ่ง ก็มากับฟีเจอร์ Apple ProRAW ให้สามารถเก็บภาพเป็นไฟล์ RAW ความละเอียดสูง เพื่อให้นำไปแต่งต่อได้แบบไม่เสียรายละเอียด

7. มือถือที่ถ่ายวิดีโอแบบ Dolby Vision ได้เป็นซีรีส์แรกของโลก

iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น มากับความสามารถในการถ่ายวิดีโอแบบ Dolby Vision ได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง โดยการถ่ายวิดีโอในฟอร์แมทดังกล่าว จะบันทึกสีสันต่างๆ ได้แบบสมจริงเหมือนตาเห็นกว่า 700 ล้านสี ซึ่งเป็นรูปแบบการถ่ายวิดีโอที่เป็นมาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้ในการถ่ายภาพยนตร์เลยนะ

8. เซ็นเซอร์ LiDAR วัดระยะต่างๆ เบลอฉากหลังได้เนียนกว่าเดิม

โดย iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีเซ็นเซอร์ LiDAR ใส่เข้ามาให้ แบบเดียวกับ iPad Pro รุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน โดยเซ็นเซอร์ LiDAR นี้ จะเข้ามาช่วยวัดระยะต่างๆ ให้มีความแม่นยำขึ้นกว่าการใช้กล้อง Depth Sensor ทั่วไป ส่งผลให้การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ฉากหลังจะออกมาเนียนเป็นธรรมชาติยิ่งกว่าเดิม แถม LiDAR ยังเอาไปใช้ร่วมกับเทคโนโลยี AR ประมวลผล 3D ได้สมจริงกว่าเดิมอีกด้วย นอกจากนี้ตัว LiDAR เอง ยังช่วยให้ระบบ Autofocus โฟกัสได้ไวกว่าเดิมถึง 6 เท่า

9. Night Mode ถ่ายได้ทั้งเลนส์ Wide, Ultra-Wide และกล้องหน้า

มาในรอบนี้ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น สามารถถ่ายภาพโหมดกลางคืน หรือ Night Mode ได้ทุกเลนส์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์หลัก Wide, Ultra-Wide และกล้องหน้า Selfie โดยตัวเลนส์ Wide สามารถรับแสงได้มากกว่าเดิมถึง 27% อีกทั้งเซ็นเซอร์ LiDAR ยังจะเข้ามาช่วยทำให้ Night Mode แบบ Portrait ทำได้ชัดและรายละเอียดเยอะกว่าเดิมอีกด้วย

10. ระบบกันสั่น Sensor-Shift 

นอกจากนี้ระบบกันสั่น OIS ของ iPhone 12 Pro Max ยังถูกฝังเอาไว้ในตัวเซ็นเซอร์เลย (Sensor-Shift) ทำให้ภาพถ่ายและวิดีโอต่างๆ ออกมาได้นิ่ง และสมูทลื่นไหลแบบสุดๆ โดยระบบกันสั่น Sensor-Shift OIS นี้ จะมีประสิทธิภาพดีกว่าแบบธรรมดาอยู่พอสมควรเลยทีเดียว

11. MagSafe 

โดย iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น จะมีระบบชาร์จที่ใช้หัวชาร์จแบบแม่เหล็กดูดติดกับตัวเครื่อง หรือเรียกว่า MagSafe นั่นเอง ซึ่งนอกจากจะใช้ชาร์จแบตแล้ว มันยังสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้อีกด้วย

MagSafe แถบแม่เหล็กสารพัดประโยชน์ใน iPhone 12 Series รองรับทั้งระบบชาร์จไว และใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ

12. มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 น้ำลึก 6 เมตร นาน 30 นาที 

iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น จะมาพร้อมกับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ที่อันนี้จะพิเศษกว่าค่า IP68 ของค่ายอื่นๆ ก็คือ Apple ออกมาเคลมว่า สามารถนำ iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ไปแช่น้ำได้ลึก 6 เมตร เป็นเวลานานถึง 30 นาที

และทั้งหมดนี้ก็เป็นฟีเจอร์และไฮไลท์เด็ดๆ ของ iPhone 12 ที่ทางทีมงานได้รวบรวมมานะครับ ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ขอตัวไปนอนพักผ่อนก่อนนะคร้าบบ

เปิดตัว iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max รองรับ 5G ทุกรุ่น พร้อมชิป A14 สุดแรง