แบตเตอรี่สมาร์ทโฟนในสมัยนี้นั้นถือว่าพัฒนาไม่ทันตามความแรงของเครื่องที่แต่ละวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่รอดไม่ครบวัน ซึ่งการแก้ปัญหาเบื้องต้นก็คือการยัดแบตความจุใหญ่ๆมาให้ แต่ว่าปัญหาที่เชื่อว่าหลายๆ คนคงเจอกันบ่อยๆ คือ การชาร์จไฟ ไม่ว่าจะเป็น ชาร์จช้า หรือชาร์จไม่เข้า ซึ่งสาเหตุนั้นก็มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน วันนี้เราลองมาดู 10 สาเหตุที่ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่มือถือช้า และวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้กันครับ

1. ใช้สายชาร์จที่มีปัญหา

เมื่อเราเจอปัญหาการชาร์จไฟช้า สิ่งแรกที่ควรตรวจสอบก็คงหนีไม่พ้นสายชาร์จของเราก่อน เพราะสายชาร์จนั้นเป็นส่วนที่เสียหายง่ายที่สุด อาจจะเกิดจากการที่เราหักงอ หรือสายไฟด้านในขาด นอกจากนี้การที่เราเสียบเข้า เสียบออก บ่อยๆ ก็อาจจะทำให้เขี้ยวที่เอาไว้ล็อคบริเวณ microUSB นั้นหักได้ครับ ซึ่งปัญหาการชาร์จไฟช้าส่วนใหญ่ก็เกิดจากการที่ใช้สายชาร์จที่มีปัญหานี่แหละครับ และการใช้สายที่ไม่มีคุณภาพ ขายกันแบบเหมาโหลราคาถูกๆ หรือสายที่ยาวเกินไป ก็อาจจะเป็นสาเหตุของการชาร์จช้าได้เช่นกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://droidsans.com/usb-cable-charge-testing

วิธีการแก้ปัญหา : เปลี่ยนสายชาร์จดูก่อนครับ เลือกสายที่ดูดีแข็งแรงนิดนึง ถ้าหากว่าเปลี่ยนสายชาร์จแล้วยังเจอปัญหาชาร์จไฟช้าอยู่ ก็แสดงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สายชาร์จ

2. ที่จ่ายไฟมีกำลังไม่พอ

ถ้าหากว่าเราลองเปลี่ยนสายชาร์จดูแล้ว ก็ยังเจอปัญหาชาร์จไฟช้าอยู่ ลำดับต่อมาที่ต้องดูก็คือ แหล่งจ่ายไฟของเรามีกำลังไฟพอหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราชาร์จกับช่อง USB ของคอมพิวเตอร์ก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องช้า ถึงแม้ว่าจะเป็นช่อง USB 3.0 ก็ตาม เพราะว่ากระแสที่ปล่อยออกมานั้นน้อยกว่าที่ชาร์จไฟแบบผนัง (wall charging) ทั่วไปอยู่เกือบเท่าตัวเลยครับ  

ส่วนการชาร์จด้วยแท่นชาร์จแบบไร้สาย (wireless charging) ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งเหมือนกันครับ ถึงแม้ว่า Samsung Galaxy Note 5 และ Galaxy S6 edge+ จะมาพร้อมกับ Wireless Fast Charge ก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับชาร์จผ่านที่ชาร์จไฟทั่วไปแล้วก็ยังถือว่าช้ากว่าอยู่ดี และมันมีเฉพาะ Note 5 และ S6 edge+ อีกด้วย

วิธีการแก้ปัญหา : ง่ายๆ เลยครับ ใช้ที่ชาร์จไฟแบบผนังแทนการชาร์จไฟผ่านพอร์ต USB ของคอมพิวเตอร์ และการชาร์จด้วยแท่นชาร์จแบบไร้สาย ถ้ามือถือของคุณรองรับเทคโนโลยีการชาร์จไฟแบบเร็ว (fast charging technology) อย่าง Qualcomm QuickCharge หรือ VOOC flash charge ก็สามารถช่วยให้ชาร์จไฟได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกันครับ

3. อะแดปเตอร์มีปัญหา 

ข้อที่แล้วนั้นพูดถึงกำลังไฟของที่จ่ายไฟว่าแต่ละอย่างนั้นมีกำลังไฟที่ถูกส่งออกมาไม่เท่ากัน ซึ่งทางที่ดีก็คือใช้ที่ชาร์จไฟแบบผนัง หรือที่เรียกว่าอะแดปเตอร์ แต่ใช่ว่าอะแดปเตอร์นั้นจะไม่มีปัญหานะครับ เพราะว่ามันก็สามารถมีปัญหาได้เช่นเดียวกัน

อย่างเช่นหากว่าเกิดแผงวงจรภายในมีปัญหา ก็จะส่งผลให้กำลังไฟที่ออกมาน้อยเกินไป ทำให้ชาร์จไฟมือถือได้ช้ากว่าปกติ หรืออีกอย่างคือแผงวงจรภายในนั้นเกิดลัดวงจร ก็มีสิทธิที่จะระเบิดได้ครับ 

วิธีการแก้ปัญหา : ถ้าเกิดเห็นว่าชาร์จไฟช้า ลองเปลี่ยนอะแดปเตอร์ดูครับ และอย่าใช้ที่ชาร์จที่มีราคาถูกเกินไป เพราะคุณภาพอาจจะไม่ได้มาตรฐานครับ  

4. มือถือเก่าแล้ว

อันนี้ไม่ได้จะบอกให้ไปซื้อใหม่นะครับ แต่ว่ามันก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้การชาร์จนั้นช้าลงไปเหมือนกัน ถ้าหากว่าเทียบกับมือถือรุ่นใหม่ๆ ที่รองรับ fast charge แล้วละก็จะเห็นได้ถึงความเร็วในการชาร์จที่แตกต่างกันเลยครับ แต่ใช่ว่ามือถือรุ่นใหม่ๆ จะสามารถชาร์จไฟได้เร็วทุกรุ่นนะครับ ขึ้นอยู่กับซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ของแต่ละรุ่นอีกด้วย

วิธีการแก้ปัญหา : คงต้องขอข้ามวิธีแก้ปัญหานี้ไปละกันนะครับ ทางแก้อยู่ในกระเป๋าเงินของคุณแล้ว แต่ถ้าอยากจะเปลี่ยนรุ่นเก่าเป็นทุนแล้ว ลองไปตั้งขายใน ห้องซื้อ-ขายโทรศัพท์มือสองและอุปกรณ์ต่างๆ ของเราดูได้ครับ

5. แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ

ในสมัยนี้ เราเริ่มจะเห็นว่ามือถือเรือธงส่วนใหญ่เริ่มที่จะตัดฟีเจอร์ในการถอดเปลี่ยนแบตออกไป เหลืออยู่เพียง LG เจ้าเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถถอดเปลี่ยนแบตด้วยตัวเองได้อยู่ ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบตเตอรี่ของเราเกิดเสื่อมสภาพขึ้นมาก็อาจจะมีผลทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น และชาร์จไฟได้ช้าลงก็เป็นได้

วิธีการแก้ปัญหา : ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณซื้อมือถือแบบไหนมา ถ้าซื้อแบบเปลี่ยนแบตได้ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ง่ายๆ แต่ถ้าสำหรับที่ใช้มือถือที่ถอดเปลียนแบตด้วยตนเองไม่ได้ก็คงต้องส่งเข้าศูนย์ หรือหาร้านที่รับเปลี่ยนแบตครับ

6. ตัวเราเอง 

การใช้งานมือถือของเราขณะที่ชาร์จแบตอยู่ที่ก็มีผลต่อความเร็วในการชาร์จเหมือนกัน อย่างใครที่ชอบเล่นเกม หรือใช้งานหนักๆ ระหว่างการชาร์จไฟอยู่ก็คงเคยเจอปัญหาชาร์จไฟช้า หรือบางทีชาร์จไฟแล้วไม่เข้าเลย แถมยังลดอีกตะหาก ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาของตัวเราเอง ไม่ได้เกิดจากเครื่องเลยครับ

อีกอย่างที่ต้องระวังคือการใช้งานระหว่างการชาร์จไฟอยู่ อาจจะทำให้เกิดความร้อนได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังแบตเตอรี่ของเราได้ และถ้าโชคร้ายสุดๆ ก็อาจจะเกิดการระเบิดได้ครับ

วิธีการแก้ปัญหา : งดใช้งานมือถือระหว่างชาร์จ หรือใช้งานเบาๆ อย่าเล่นเกม หรือทำงานหนักๆ ครับ วางมือถือแล้วไปคุยกับคนในครอบครัวระหว่างชาร์จก็ได้นะ 🙂

7. แบ็คกราวน์แอปจอมดูด

ถึงแม้ว่าหน้าจอของเราจะเป็นส่วนที่ดูดแบตมากที่สุด แต่ว่าเหล่าแอปต่างๆ ที่เราโหลดมาใช้ก็มีส่วนเช่นเดียวกันนะครับ บางทีแอปเหล่านั้นก็มีการเรียกใช้งานขึ้นมาช่วงที่เราไม่ได้ใช้งานอยู่ หรือที่เรียกว่าแบ็คกราวน์แอป (background app) และดูดแบตของเราไปเรื่อยๆ ทำให้แบตของเราหมดไวขึ้นกว่าปกติ แต่หลังๆ มานี้ระบบ Android ก็เริ่มที่จะจัดการเรื่องแอปแบบนี้ได้ดีมากขึ้น 

ปัญหาแบ็คกราวน์แอปดูดแบตอาจจะไม่ทำให้การชาร์จแบตมือถือของเราช้าลง แต่ว่าจะส่งผลกระทบทางอ้อมมากว่า เพราะอาจจะทำให้แบตหมดเร็วขึ้น เมื่อแบตหมดเร็วขึ้น เราก็ต้องชาร์จบ่อยขึ้น ส่งผลให้แบตเสื่อมสภาพ และอาจจะทำให้สายชาร์จ หรือที่ชาร์จของเราเสียหายได้

วิธีการแก้ปัญหา : ลองดาวน์โหลดแอป Task Manager ต่างๆ มาดูว่าแอปไหนแอบใช้งานในแบ็คกราวน์อยู่ แล้วลองลบแอปเหล่านั้นดูว่าแบตเรายังโดนดูดเหมือนเดิมหรือไม่ครับ

8. ช่องเสียบ USB ถูกขวาง 

ช่องเสียบ USB นั้นอาจจะไม่ค่อยมีคนใส่ใจเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่าปัญหาอาจจะไม่ได้เกิดจากตรงนี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ช่องเสียบ USB ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การชาร์จไฟนั้นช้าได้เหมือนกันครับ ส่วนใหญ่แล้ว เราจะใส่มือถือของเราไว้ในกระเป๋ากางเกง หรือไม่ก็ในกระเป๋าถือ ซึ่งมีโอกาสที่จะถูกฝุ่น หรือเศษผ้าเข้าไปอุดรูได้ครับ

ถ้าหากว่าเราไม่ได้สังเกตุดูที่ช่องเสียบ USB ดีๆ ว่ามีอะไรขวางอยู่หรือไม่ แล้วเสียบที่ชาร์จบ่อยๆ อาจจะทำให้สิ่งสกปรกเหล่านั้นฝังลึกและพอกพูนเพิ่มมากขึ้น และจะขวางไม่ให้กระแสไฟจากหัวชาร์จเข้าไปยังเครื่องครับ

วิธีการแก้ปัญหา : ใช้ไฟฉายส่องช่องเสียบ USB ดูว่ามีฝุ่นหรือเศษผ้าอยู่หรือไม่ ใช้ไม้แคะฟันแบบพลาสติก หรือแปรงสีฟันแห้งๆ ขัดดู ก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน

9. ช่องเสียบ USB เสียหาย

ปัญหาที่กล่าวมาด้านบนส่วนใหญ่แล้วจะสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเกิดว่าช่องเสียบ USB ของเราเสียขึ้นมาละก็ จะเป็นปัญหาใหญ่เลยครับ เพราะเราจะไม่สามารถแก้ไขได้เองเลย ช่องเสียบ USB จะเสียหายได้ต้องเกิดจากการกระทบกระเทือนทางกายภาพ อย่างถูกทำหล่น หรือพยายามเสียบสาย USB แต่ดันเสียบผิดด้าน ถ้าหากว่ามือถือยังอยู่ในประกันก็โชคดีไปครับ แต่ถ้าหมดประกันแล้วก็ต้องส่งซ่อมอย่างเดียว

วิธีการแก้ปัญหา : ปัญหานี้แก้ด้วยตนเองไม่ได้นะครับ ส่งศูนย์ หรือ ส่งซ่อม อย่างเดียว 

10. ช่องเสียบ USB ถูกกัดกร่อน

 

การถูกกัดกร่อนที่ช่องเสียบ USB อาจจะเกิดขึ้นได้จากเหงื่อหรือความชื้น ซึ่งการกัดกร่อนเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันทีนะ แต่ว่าจะเป็นการสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าเกิดว่าไม่จัดการก่อนอาจจะทำให้เกิดปัญหาชาร์จไฟไม่เข้า เพราะว่าถูกสนิมหรือการกัดกร่อนขวางขั้วเอาไว้ครับ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่รีบจัดการและปล่อยไว้เรื่อยๆ ปัญหาอาจจะลามไปยังส่วนอื่นๆ ได้ 

วิธีการแก้ปัญหา : ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่ว่าถ้าใครไม่รู้เรื่อง หรือไม่ชำนาญ ก็อย่าลงมือทำเองดีกว่าครับ ส่วนวิธีการจัดการกับช่องเสียบ USB ที่ถูกกัดกร่อนนั้นก็ต้องเริ่มจากการแกะเครื่องออกมาก่อนครับ หลังจากนั้นก็ใช้น้ำส้มสายชูป้ายเบาๆ บริเวณที่ถูกกัดกร่อน แต่ต้องระวังอย่าให้เข้าเครื่องนะครับ ไม่งั้นพัง เมื่อป้ายน้ำส้มสายชูเสร็จก็รอประมาณ 5-8 นาที แล้วจึงผ้าขนหนูเช็ดออกจนคราบนั้นหมดไป เสร็จแล้วจึงใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดอีกรอบ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 30 นาที แล้วจึงประกอบเครื่องกลับเข้าไปครับ

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้มือถือเกิดการชาร์จช้า หรือว่าชาร์จไฟไม่เข้านะครับ ถ้าหากว่าเพื่อนๆ มีข้อมูลอื่นๆ ก็สามารถบอกเพิ่มกันได้นะครับ 🙂

 

อ้างอิงมาจาก: Android Authority