สืบเนื่องจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา Donald Trump ได้เรียกบุคคลต่างๆ ทั้งผู้บริหารจากบริษัทเกมและสมาชิกฝ่ายที่ต่อต้านความรุนแรงในเกม เข้าร่วมหารือกัน หลังจากเกิดโศกนาฎกรรมกราดยิงในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 17 ราย แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ผลสรุปอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน…และล่าสุดก็ได้มีผลการวิจัยจากหน่วยงาน US Secret Service ออกมาให้ได้รู้กันแล้วว่าความรุนแรงในเกม แทบจะไม่มีผลกระทบให้ผู้เล่นเกิดอาการก้าวร้าวอยากทำร้ายผู้อื่นเลย 

และในการประชุมดังกล่าวทางฝ่ายผู้พัฒนาเกมก็ได้ให้ข้อสรุปมาประโยคนึงมีใจความว่า “ปัจจุบันยังไม่มีผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์แบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย ว่าความรุนแรงในวิดีโอเกมจะส่งผลให้ผู้เล่นเกิดความก้าวร้าว  แถมวิดีโอเกมทั้งหลายก็มีผู้เล่นอยู่ทั่วโลก แต่ทำไมอเมริกาถึงเป็นประเทศที่มีคดีก่อความรุนแรงด้วยอาวุธปืนมากที่สุดในโลก”

และหลังจากการพูดคุยดังกล่าวจบไป ก็ได้มี ดร.คริสโตเฟอร์ เฟอร์กูสัน ภาควิชาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสเตทสัน (Stetson University), ดร. แพทริค มาร์กี้ ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยวิลลาโนวา (Villanova University) และ ดร. วิทนีย์ เดอคอมป์ ภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มิชิแกน (Western Michigan University) กล่าวออกมาในทางเดียวกันว่า การประชุมเพื่อหารือเรื่องความรุนแรงที่ผ่านมา เป็นอะไรที่งี่เง่ามากๆ เพราะในการประชุมดังกล่าวไม่มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านจิตวิทยา สังคมวิทยา หรืออาชญาวิทยา มาร่วมพูดคุยด้วยเลย

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการวิจัยจาก US Secret Service ออกมาสมทบอีกด้วยว่า จากเหตุการณ์กราดยิงโรงเรียนที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด มีผู้ก่อเหตุประมาณ 12% เท่านั้น ที่ชอบเล่นวิดีโอเกมที่มีความรุนแรง ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยมาก หากเทียบกับสื่ออื่นๆ อย่างเช่น ผู้ก่อเหตุที่ชอบดูหนังโหดๆ มี 27%, ผู้ก่อเหตุที่ชอบอ่านหนังสือโหดๆ มี 24% ส่วนผู้ก่อเหตุจำนวนมากที่สุด 37% เป็นพวกที่มีความรุนแรง และก้าวร้าวในตัวเองอยู่แล้ว (โดยแสดงออกผ่านทางการเขียนเรียงความ, บทกลอน หรือบันทึกต่างๆ ไปในทางโหดร้าย)

แถมเมื่อปีที่แล้วก็ได้มีข้อมูลทางการวิจัยจากประเทศเยอรมนี ด้วยการสแกนเพื่อวินิจฉัยการทำงานของแต่ละบริเวณในสมอง (fMRI) ของผู้รับการทดลองผู้ชายจำนวน 15 คน ที่ชอบเล่นเกมโหดๆ วันละ 2 ชม. เป็นเวลา 4 ปี ก็ไม่พบถึงความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมก้าวร้าวเลยแม้แต่นิดเดียว

มีผลการวิจัยออกมาขนาดนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าตา Donals Trump และพวกที่เอะอะๆ ก็โทษเกมไว้ก่อน จะเปลี่ยนความคิดในแง่ลบสำหรับวงการวิดีโอเกมให้ดีขึ้นได้รึเปล่านะครับ

 

ที่มา : Wccftech, Teenvogue