Apple ประกาศเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างชั่วคราวไปประมาณ 100 คนในสัปดาห์ที่แล้วครับ และเค้าก็บอกเหตุผลด้วยว่าต้องการลดค่าใช้จ่ายของบริษัทในด้านการจ้างงานลง ดังนั้นเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมาก ๆ ว่าบริษัทกำลังเข้าสู่ช่วงชะลอการเติบโต ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นเหมือนบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ในช่วงนี้ที่กำลังเคร่งเครียด ไม่ค่อยอยากจ้างงานพนักงานใหม่ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ครับ

การปลดพนักงานออกของ Apple ในรอบนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก รวมไปถึงสำนักงานใหญ่ในรัฐเท็กซัสและประเทศสิงคโปร์ โดยจะมีการจ่ายค่าจ้างและสิทธิค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้าสองสัปดาห์ให้พนักงานที่ถูกเชิญออกครับ

ก่อนหน้านี้ Tim Cook CEO ของ Apple ก็ได้ออกมาบอกแล้วว่าจะเริ่มระมัดระวังกับการใช้จ่ายลงทุนของบริษัทมากขึ้น แต่ก็จะไม่ได้หยุดไปทั้งหมดซะทีเดียวนะ เพราะตอนนี้บริษัทก็ยังมองหาพนักงาน fulltime อยู่ ส่วนการเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนในทุกหน่วยงานด้วยครับ เป็นเฉพาะพวกนายหน้าหาคนสมัครงาน หรือพวก Head Hunter เท่านั้น

โดยพวกพนักงานสัญญาจ้างส่วนใหญ่ก็จะทำหน้าที่ให้บริการคอยช่วยเหลือลูกค้า จ้างเพื่อมาทำหน้าที่ localize สินค้าและบริการ หรือจ้างมาเพื่อให้เก็บข้อมูลแผนที่โลกเพื่อไปสร้างเป็นตัว Maps ของ Apple เองครับ

Apple เองจริง ๆ ก็เคยมีประวัติการเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างมาแล้วในช่วงปี 2019 ที่ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ Apple ใช้พัฒนาตัว Siri โดยการจ้างคนมาคอยฟังบทสนทนาที่ผู้ใช้คุยกัน แต่พอมีข่าวคนกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว Apple ก็เลยต้องยุบส่วนตรงนี้ของบริษัทและเลิกจ้างพนักงานไป

Apple ไม่ได้เป็นบริษัทเดียวที่ลดการจ้างงาน

ตอนนี้ Apple มีพนักงานอยู่ทั้งหมด 150,000 คน แถมปกติแล้วไม่ค่อยเลิกจ้างงานบ่อยนักนะครับ แต่บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็มีข่าวเรื่องการลดการจ้างงานลงเช่นกัน เช่นบริษัท Meta, Tesla, Microsoft, Amazon และ Oracle ที่ต่างเคยปลดพนักงานออกไปแล้วในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา และลดค่าใช้จ่ายของบริษัทลงไปกันเยอะเลย

ดังนั้นการปลดพนักงานออกในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ถือเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่บริษัทต่าง ๆ ต้องคอยระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายกันมากขึ้น เพื่อความมั่นคงของตัวบริษัทเองครับผม

 

ที่มา: gizchina