การมาถึงของ iPhone 14 ในปีนี้ ได้รับการจับตามองอย่างมากตั้งแต่ก่อนเปิดตัว จากข่าวลืออย่างหนาหูถึงเรื่องการปรับดีไซน์หน้าจอ รวมถึงการตัดรุ่น ‘mini’ ออก ซึ่งสุดท้ายก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ แต่ Apple ได้มีการเพิ่มรุ่น ‘Plus’ เข้ามาแทน ทำให้ภาพรวมของซีรีส์ยังมี 4 รุ่นเท่าเดิม ส่วนในแง่ของฟีเจอร์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มีประเด็นที่น่าสนใจอย่างหลายอย่าง โดย DroidSans ได้สรุปออกมาเป็น 10 ข้อ ดังนี้

1. บอกลาหน้าจอบาก สู่หน้าจอเจาะรูที่ทำอะไรได้มากกว่า

ตามที่เกริ่นไปข้างต้นว่า iPhone 14 ยังมีด้วยกัน 4 รุ่น ประกอบด้วย iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max โดย 2 รุ่นแรกยังใช้ดีไซน์แบบเดิม แต่ 2 รุ่นหลังมีการเปลี่ยนแปลงทางดีไซน์ครั้งใหญ่ในส่วนของหน้าจอ จากที่เป็นแบบรอยบากมานาน ตอนนี้การออกแบบภายในได้รับการปรับปรุงใหม่ ประกอบกับเซนเซอร์ TrueDepth ถูกบีบให้มีขนาดเล็กลงได้มากถึง 31% จนสามารถใส่ลงไปในหน้าจอแบบเจาะรูได้แล้ว

Apple เรียกหน้าจอแบบใหม่นี้ว่า Dynamic Island ซึ่งตรงตามชื่อไดนามิก คือการแสดงผลแอนิเมชันและอินเทอร์เฟซบริเวณรอบรูกล้องจะเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ารูกล้องนี้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับหน้าจอและไม่เกะกะรบกวนสายตาเท่าไหร่นัก

2. ในที่สุด Always-On Display ก็มาแล้ว

Always-On Display เป็นฟีเจอร์ง่าย ๆ ที่ดึงเอาประโยชน์ของพาเนลประเภท OLED มาใช้ โดยการลดความสว่างและอัตรารีเฟรชลงขณะอยู่ในหน้าจอล็อก ทำให้สามารถแสดงผลนาฬิกา การแจ้งเตือน และสถานะต่าง ๆ ต่อไปได้โดยไม่กินแบต ฟีเจอร์นี้มีให้ใช้งานเฉพาะใน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เท่านั้น

3. จอภาพใหม่ สว่างขึ้น 2 เท่า

iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มากับหน้าจอ Super Retina XDR ตัวใหม่ ซึ่งสว่างกว่าเดิมมาก ในการใช้งานกลางแจ้งดันความสว่างเฉพาะจุดได้สูงสุด 2,000 นิต และในการแสดงผล HDR ก็ได้ประโยชน์ไปด้วยจากการดันความสว่างเฉพาะจุดได้สูงสุด 1,600 นิต ซึ่งในแง่ของ HDR นั้น ความสว่างที่เพิ่มขึ้นหมายถึงการให้ภาพที่สมจริงกว่าเดิม รับชมคอนเทนต์ได้เต็มอรรถรส

4. ชิป A15 Bionic ฉบับปรับปรุง พร้อมชิป A16 Bionic

ใน iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ขับเคลื่อนด้วยชิป A15 Bionic ตัวเดิม แต่ไม่ได้เหมือนเดิมเสียทั้งหมด เพราะมีการเพิ่มจีพียูเป็น 5 แกน เท่ากับใน iPhone 13 Pro ทำให้ประมวลผลกราฟิกได้ทรงพลังกว่าเดิม โดย Apple เคลมว่า ชิปตัวนี้ยังเป็นตัวเลือกที่แรงที่สุดในทุกช่วงราคาอยู่

ในขณะที่ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ได้ชิป A16 Bionic พร้อมทรานซิสเตอร์เกือบ 1 หมื่น 6 พันล้านตัว ซีพียูและจีพียูจากเดิมที่แรงมากอยู่แล้วก็แรงขึ้นไปอีก มี Neural Engine ที่คำนวณได้ 17 ล้านล้านรายการต่อวินาที และ ISP ใหม่ เมื่อรวมกันแล้วส่งผลให้การประมวลผล Computational Photography ขณะถ่ายภาพและวิดีโอทำได้ละเอียดอ่อนลึกซึ้งกว่าเดิมมาก ทั้งการใช้พลังงานในภาพรวมก็น้อยลง

5. อัปเกรดกล้องหลังทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่

iPhone 14 และ iPhone 14 Plus มาพร้อมอัลกอริทึมประมวลผลภาพแบบใหม่ เซนเซอร์กล้องตัวใหม่ ขนาดใหญ่ขึ้น รูรับแสงกว้างขึ้น รับแสงได้มากกว่าเดิม 49% ประสิทธิภาพการถ่ายภาพในที่แสงน้อยดีขึ้น 2.5 เท่าในกล้องหลัก และ 2 เท่าในกล้องอัลตราไวด์ ช่วงเวลาที่ใช้ในการเปิดรับแสงขณะถ่าย Night mode สั้นลง และแฟลชทูโทนถูกปรับปรุงให้มีความสว่างขึ้นด้วย

ด้านกล้องหลังของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการอัปเกรดขนานใหญ่ จากการเปลี่ยนเซนเซอร์กล้องหลัก 12MP เป็น 48MP ความละเอียดเพิ่มขึ้น 4 เท่า และขนาดใหญ่ขึ้น 65% เมื่อเทียบกับ iPhone 13 Pro

6. รองรับการถ่ายภาพที่ยืดหยุ่นด้วย Quad-pixel

ประโยชน์ของการที่มีเซนเซอร์ความละเอียดสูงขนาดใหญ่ ทำให้รองรับการใช้งานที่ยืดหยุ่น ในสถานการณ์ทั่วไประบบจะใช้เทคโนโลยี Quad-pixel รวมพิกเซล 4 จุดเล็กเป็น 1 จุดใหญ่ เพิ่มความไวแสงเป็น 4 เท่าบนความละเอียด 12MP หรือในกรณีที่ต้องการถ่ายภาพที่มีรายละเอียดเยอะ ก็สามารถเลือกใช้งานโหมด ProRAW เต็มความละเอียด 48MP แล้วนำมาครอปทีหลังได้

7. ถ่ายวิดีโอนิ่งสนิท เหมือนกล้องแอ็กชันแคม

โหมดการถ่ายวิดีโอแบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ Action mode ช่วยให้ถ่ายวิดีโอได้นิ่งสนิทเหมือนกับในกล้องแอ็กชันแคมโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริม ส่วนโหมด Cinematic mode ได้เพิ่มตัวเลือกการบันทึกวิดีโอ 4K แบบ HDR ที่ 24 เฟรมต่อวินาที ตามมาตรฐานเดียวกับที่ใช้กันในอุตสาหกรรมภาพยนตร์

8. แบตอึดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

Apple ระบุว่า iPhone 14 Plus เป็นรุ่นที่แบตอึดที่สุดเท่าที่เคยมีมา สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 26 ชั่วโมง ส่วน iPhone 14 ไม่น้อยหน้า ลดหลั่นลงมาเล็กน้อยเหลือ 20 ชั่วโมง ในขณะที่ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ระบุว่าใช้งานได้ตลอดทั้งวัน

9. ตรวจจับรถชนพร้อมโทรหาเบอร์ฉุกเฉินอัตโนมัติ

สำหรับ iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่น จะได้ฟีเจอร์ Crash Detection หรือการตรวจจับอุบัติเหตุรถชนแบบเดียวกับ Apple Watch 8 ฟีเจอร์นี้จะทำงานโดยการตรวจจับความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของทิศทาง ความเร็ว และความดันในห้องโดยสาร ร่วมกับการตรวจจับระดับเสียงที่ดังอย่างรุนแรง โดยทั้งหมดนี้จะประมวลผลอยู่บนโทรศัพท์ ไม่มีการส่งข้อมูลออกไปที่อื่นเพื่อความเป็นส่วนตัว เมื่อตรวจจับได้ว่ามีการชนเกิดขึ้น iPhone 14 จะโทรหาเบอร์ฉุกเฉินหรือเบอร์ติดต่อที่บันทึกไว้โดยอัตโนมัติ

10. ส่งสัญญาณ SOS ขอความช่วยเหลือผ่านดาวเทียม

กรณีที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือเขตอับสัญญาณ เช่น ในป่า บนเขา หรือกลางทะเลทราย สามารถใช้งานฟีเจอร์ Emergency SoS via Satellite บน iPhone 14 เพื่อส่งสัญญาณฉุกเฉินผ่านดาวเทียมได้ เมื่อจับสัญญาณได้แล้วระบบจะทำการส่งพิกัดและเปอร์เซ็นต์แบตที่เหลือ ณ ปัจจุบันไปยังปลายทาง พร้อมกับ ID ทางการแพทย์โดยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถส่งข้อความได้ในระยะหน่วงเวลาแค่ประมาณ 15 วินาทีหากอยู่ในสถานที่ที่เปิดโล่ง หรือน้อยกว่า 1 นาที หากสภาพอากาศหรือสถานที่ไม่อำนวย เบื้องต้นเปิดให้ใช้งานเฉพาะบางประเทศ

สำหรับ iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่น มีค่าตัวเริ่มต้นตั้งแต่ 32,900 บาท ไปจนถึงแพงสุดที่ 66,900 บาท สามารถดูข้อมูลราคาของแต่ละรุ่นเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่าง

สรุปราคา iPhone 14 Series | iPhone 14 Pro Series ทุกรุ่นพร้อมวันวางจำหน่ายในไทย