โดยปกติพวกเราคงไม่ได้อยากให้ใครมาเล่นสมาร์ทโฟน อ่านนู่นดูนี่ เอาภาพในอัลบั้มไปดูโดยที่เราไม่ยินยอม เพราะในยุคนี้พวกเราเก็บข้อมูลต่างๆแทบจะทั้งชีวิตเอาไว้อยู่ในอุปกรณ์ชิ้นเท่าฝ่ามือนี้ แต่เราก็ได้เห็นความพยายามที่จะเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวนี้อยู่ตลอด รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลเอง โดย Apple ผู้ผลิต iPhone ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกกดดันให้เปิดเผยข้อมูลผู้ใช้ โดยอ้างถึงปัญหาความมั่นคงของประเทศ ที่เจ้าหน้าที่จะสามารถหยุดโศกนาฎกรรมได้ก่อนที่จะเกิด ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันในระดับสากลเลยว่าเป็นเรื่องที่ควรทำหรือไม่ แต่สุดท้ายทางบริษัทก็ได้ทำการตัดสินใจปฎิเสธคำร้องขอของหน่วยงานรัฐ และส่งจดหมายชี้แจงถึงผู้ใช้แล้ว
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาจาก เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว หากใครได้ดูข่าวของประเทศสหรัฐอเมริกาก็คงจะจำได้ว่า มีเหตุการณ์ก่อการร้ายของคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่สังหารหมู่ผู้คนในเมือง San Bernandino ไปถึง 14 ศพ โดยทาง FBI ของประเทศสหรัฐฯ ก็ได้ทำการเก็บ iPhone 5C ของผู้ก่อการร้ายมา แต่ว่าไม่สามารถที่จะปลดล็อคเครื่องได้ จึงหันไปหา Apple ให้ช่วยเหลือ
รูปจาก Tapsmart
เนื่องจาก ตั้งแต่ iOS 8 ขึ้นไป ทาง Apple ได้ทำการใช้วิธีการเข้ารหัส (encrypt) สำหรับรหัสปลดล็อคเครื่องแบบใหม่ และทาง Apple ก็ไม่ได้เก็บกุญแจสำหรับการเข้ารหัส (encryption keys) เอาไว้ด้วย ทำให้ Apple เองก็ไม่สามารถที่จะปลดล็อคเครื่องได้ ซึ่งทาง FBI จึงขอให้ Apple นั้นทำระบบ iOS ชุดใหม่ที่สามารถข้ามผ่านหน้าจอปลดล็อคเครื่อง (bypass) ไปได้ หรือที่ทาง Apple เรียกว่าระบบประตูหลัง (backdoor) นั่นเอง
ถึงแม้ว่าทาง FBI จะขอให้ Apple ทำระบบ backdoor มาเพื่อใช้กับ iPhone ของผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ทางนาย Tim Cook ซีอีโอของ Apple ก็รู้สึกว่า การทำระบบ backdoor สำหรับ iPhone นั้นเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก ซึ่งถ้าตกไปถึงมือเหล่ามิจฉาชีพจะที่มีความเชี่ยวชาญละก็ จะทำให้คนเหล่านั้นสามารถเข้าเครื่อง iPhone เครื่องใดก็ได้ทันที ส่วนใครที่อยากอ่านสิ่งที่ทาง Tim Cook เขียนแบบเต็มๆ ตามลิงก์แรกด้านล่างได้เลยนะครับ
รูปจาก The Verge
โดยตอนนี้ไม่ใช่แค่ Tim Cook คนเดียวเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค เพราะนาย Sundar Pichai ซีอีโอของ Google ก็ได้ออกมาทวีตว่าเห็นด้วยกับทางฝั่ง Apple ในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคเป็นที่เรียบร้อย หรือเรียกได้ว่า 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกออกมายืนยันว่าจะไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯเข้าถึงความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว นาย Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ก็ได้เคยออกมาเรียกร้องทางรัฐบาลให้หยุดคุกคามข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไปแล้วทีนึง พร้อมแซะหน่วยงานรัฐว่าทางวิศวกรของ Facebook นั้นทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะป้องกันข้อมูลผู้ใช้จากเหล่ามิจฉาชีพ ไม่ใช่ว่าจะต้องมาสู้รบกับรัฐบาลของตนเอง
รูปจาก The Guardian
ถ้าย้อนกลับมาดูที่บ้านเรา ก็จะเริ่มจะเห็นว่าทางรัฐบาลไทยเริ่มที่จะขอคัดกรองข้อมูลจาก 3 บริการหลักของประเทศไทยอย่าง Google, LINE และ Facebook แล้ว โดยก่อนหน้านี้ทางสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปก็ได้เข้าไปคุยกับทาง Google เป็นที่เรียบร้อย เพื่อขอให้ Google ช่วยถอดเว็บไซต์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ และสถาบัน แต่ว่าในปัจจุบันทาง Google ก็มีการถอดเว็บไซต์และสื่อที่ผิดกฎหมายพวกนี้ออกเองอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องมีการร้องขอ
ส่วนของ LINE นั้นก็เคยมีข่าวว่ามีคนถูกจับเนื่องจากทำการแชร์วิดีโอล้อเลียนนายกฯให้กับเพื่อนมาแล้วรอบนึง เป็นไปได้ว่าทางรัฐบาลไทยนั้นสามารถถึงข้อมูลของ LINE เพื่อที่จะคัดกรองเนื้อหาที่กระทบต่อรัฐบาลได้แล้ว แต่สำหรับทาง Facebook นั้นยังคงเงียบในเรื่องนี้อยู่
เรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละฝ่าย แต่การที่จะเข้าถึงข้อมูลแบบไม่ได้รับอนุญาตก็เหมือนเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทางหนึ่ง ซึ่งการเฝ้าตรวจสอบข้อมูลแบบนี้ทำให้รู้สึกว่าไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไป ส่วนเหตุการณ์จะจบอย่างไรก็รอดูกันต่อไปนะครับ
แล้วเพื่อนๆล่ะ คิดว่ายังไง? รัฐบาลควรมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ที่คุกคาม หรือควรจะปล่อยให้มันปลอดภัยแบบนี้ต่อไป?
อ้างอิงจาก:
Apple, The Verge (1, 2) :: ข่าว Apple ปฎิเสธการเปิดเผยข้อมูลผู้ใช้
Twitter :: Tweets ของซีอีโอ Google ที่เห็นด้วยกับทาง Apple
The Guardian :: ข่าวการโวยรัฐบาลของ Mark Zuckerburg
Prachatai, The Nation :: ข่าวการขอเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของภาครัฐในไทย
ผมว่าในส่วนของไลน์เพราะมีคนที่เจ้าตัวแชร์ให้เอาไปล่อยต่อเลยโดนจับมากกว่าครับ ไม่น่าใช่รัฐบาลไทยเข้าถึงไลน์หรอก เพราะถ้าได้ไลน์เนี้ยเสียความน่าเชื่อถือไปเยอะเลยนะ
นั่นสิครับ
และถ้าจำไม่ผิด เหมือนช่วยก่อนที่รัฐบาลพยายามขอให้ LINE เปิดให้รัฐเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้ แต่โดน LINE ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
ถ้าศาลมีคำสั่ง ให้ตรวจสอบข้อมูลได้เป็นรายบุคคล แบบเฉพาะขอบเขตที่กำหนด กระบวนการพิจารณาของศาลก็ว่ากันไป แบบนี้ผมรับได้
แต่ถ้า รัฐบาลนึกอยากดูอะไรก็ได้ ดูใครก็ได้ อันนี้รับไม่ได้
ปัญหาเรื่องแบบนี้เนี่ย ประเทศแถวๆนี้ชอบทางลัดกันจัง แต่กับเรื่องที่ควรจะลัดหรือลดขั้นตอนได้ ดันอ้างกฏระเบียบล้านข้อ #หึ
ประเทศแถวๆ นี้…หมายถึงพม่าใช่มั้ยครับ
หึๆ
คงต้องเอาเข้า super com ของ รัฐเพื่อแกะเองละนะ
คือตามเนื้อข่าว ผมก็อยากให้ Apple ให้ความร่วมมือ FBI นะ
เพราะมั่นใจได้แล้วว่าเป็นผู้ต้องหาจริง ไม่ได้จับผิดตัว
การให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ก็ช่วยลดความเสียหายได้
แต่อย่าทำเหมือนประเทศแถวๆ นี้แบบ คห. บนละกัน อันนี้ก็ไม่ไหววว
ผมยืนข้าง CEO Google นะเรื่องความเป็นส่วนตัว
ส่วน Tim Cook นั้นผมว่าเขาก็กลัวที่เรื่องเหล่านี้ถ้าตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี
Apple จะไม่ใช่บริษัทที่มีความปลอดภัยกับผู้บริโภคอีกต่อไป
ถ้าเป็นปัญหาด้านความมั่นคง ต้องใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยที่ถึงที่สุดที่เป็นมาตรการสุดท้ายจริง ๆ ผมถึงจะยอม
เพื่อความมั่นของคงประเทศผมยอมได้…..แต่ถ้าเพื่อความมั่นคงของกลุ่มคนบางกลุ่ม ผมไม่ยอม!!!
ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครออกแบบสินค้า IT ที่ตัวเองไม่มีทางเปิดดูข้างในได้
เอาเรื่องที่เจอๆเป็นประจำ แค่พวก Ad ที่โผล่ขึ้นมาตามอุปนิสัยของ user อย่างน่าอัศจรรย์
แค่นี้จะบอกว่าบังเอิญมั้ง หรือบริษัทเหล่านี้ไม่มีทางล้วงข้อมูล user มันคงไม่ใช่
เรื่องของเรื่อง ประเด็นสำคัญมันก็คือยอดขาย ภาพลักษณ์สินค้า ที่ไม่มี user คนไหน
อยากใช้ผลิตภัณฑ์ที่จะมีคนมาเปิดดูข้อมูลข้างในได้ครับ
สมมติถ้า ทิมคุก บอกว่าโอเคยินดีเปิดให้ดูได้ (แม้จะเน้นย้ำว่าสำหรับกรณีนี้เท่านั้น)
ภาพลักษณ์สินค้าย่อมเสียหายแน่ ผู้ใช้ทั่วโลกไม่ว่าใครย่อมเกิดคำถามแน่นอนว่า
อ้าวแล้วข้อมูลของฉันหละ ? วันรุ่งขึ้นยอดขายแอปเปิ้ลจะร่วงแน่นอน
ซึ่งไม่ว่า google ,line ,facebook ฯลฯ เองก็คงอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้
หน้าฉากก็ต้องยืนยันเสียงแข็งไว้ก่อนว่าไม่มีทางเปิดได้ แต่ผมคาดว่าหลังฉากก็คง
จะเปิดให้ดูกันได้ครับ งานนี้แอปเปิ้ลได้โปรโมทแบรนด์ไปด้วยฟรีๆ
ป.ล.ลองสมมติเวอร์ๆนะ(ย้ำว่าเว่อร์ๆ) ถ้าศาลสั่งให้แอปเปิ้ลต้องเปิดเครื่องให้ได้
ไม่งั้นจะต้องได้รับโทษอะไรซักอย่างที่เกินกว่าบริษัทจะรับไหว คิดว่าแอปเปิลจะเปิดได้มั้ย
มันเป็นชั้นเชิงทางธุรกิจ
ความเป็นส่วนตัว ก็ปล่อยให้เป็นส่วนตัวไปเถอะ
ทุกคนควรมีเสรีภาพ เลือกที่จะทำอะไร
อยู่ที่ใจของเขาเลือกที่จะทำ
เชิงธุรกิจก็พูดให้ดูดี เอาใจสาวก
เบื้องหลังก็ตามระเบียบพักไปแล้วครับ…งานนี้
ผมสงสัยนะทำไมพาดหัวเหมือนให้ร้าย แอปเปิ้ล
อ่านดีๆ จะรู้ว่า รัฐบาลโดยFBI ขอให้แอปเปิ้ล ปลดล็อค
ไม่ใช่คำสั่งศาล ซึ่งผมไม่รู้ว่า FBI มีอำนาจบังคับใช้กับแอปเปิ้ล ได้ไหมแต่ ผมว่ามีแต่ศาลเท่านั้นที่จะสั่งให้แอปเปิ้ลทำโน้นนี้นั้นได้ เพราะการที่แอปเปิ้ลจะปลดล็อคโดยอับเดท backdoor อาจจะส่งผลกระทบต่อผุ้ใช้คนอื่น นี้ถ้าไม่อ่านผมคงจะเกลียดแอปเปิ้ลตายเลย
ถ้าศาลสั่งแล้วแอปเปิ้ลปฏิเสธ อันนี้จะโพสต์ข่าวพาดหัวแบบนี้ก็ได้ครับ
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าคนไทยส่วนใหญ่อ่านหนังสือไม่กี่บรรทัด แล้วเชื่อแชร์ทันที ชอบเสพดราม่า ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่โต
ผมอ่านแล้วไม่ได้รู้สึกว่าให้ร้าย Apple นะครับ แต่กลับคิดว่าเป็นการชื่นชม Apple เสียด้วยซ้ำที่ทำหน้าที่ปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อย่างเต็มที่มากกว่า พาดหัวก็ใช้คำว่ารัฐบาล ไม่ได้ใช้คำว่าปฎิเสธคำสั่งศาลหนิครับ?
หมายถึงพาดหัวครับ เราต้องอ่านเนื้อหาถึงจะรู้ว่าความจริง
ใช่ครับ พาดหัวผมก็ไม่รู้สึกนะ แต่เราอาจจะมองต่างกัน
พอดีผมมองว่าการที่บริษัทเอกชนกล้าปฎิเสธรัฐบาลเพื่อปกป้องข้อมูลผู้ใช้เป็นเรื่องที่เจ๋งมากเลยนะ