Craig Federighi ผู้บริหารระดับสูงของ Apple ถูกถามเกี่ยวกับฟีเจอร์ Siri ที่เคยนำมาโชว์ในงาน WWDC ปีที่แล้ว แต่สุดท้ายก็เจอโรคเลื่อนไม่สามารถทำได้ตามที่โฆษณาไว้ เจ้าตัวยืนยันว่า Siri ที่ได้เห็นภายในงานปีนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่โปรแกรมจำลองแต่อย่างใด แต่คุณภาพยังไม่ดีพอที่จะปล่อยให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ใช้งานจริง
Craig Federighi ผู้บริหารระดับสูงของ Apple ถูกสื่อตั้งคำถามในระหว่างการเดินสายให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับงาน WWDC25 ถึงกับประเด็นที่ Siri ซึ่งเคยนำมาโชว์ในงาน WWDC24 แต่สุดท้ายก็ประกาศเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยตั้งข้อสงสัยว่า Siri ที่ได้เห็นกันในครั้งนั้นเป็นของปลอมหรือโปรแกรมจำลองหรือเปล่า
“ผมรู้มาเหมือนกันว่ามีกระแสว่อนเต็มไปหมดว่า มันก็เป็นแค่ของจำลองเท่านั้นแหละ ซึ่งผมขอบอกเลยว่ามันไม่จริง ตอนแรกเราคิดจะปล่อยออกมาให้ใช้งานภายในปีนั้นด้วยซ้ำ”
ตัวของ Craig Federighi ได้ปฏิเสธข้อสงสัยดังกล่าวพร้อมยืนยันทันทีว่าฟีเจอร์ Siri ที่ได้เห็นกันภายในงานปีนั้น ไม่ใช่ของปลอมหรือโปรแกรมจำลองแต่อย่างใด ฟุตเทจที่ได้เห็นเป็นการถ่ายทำจากคำสั่งจริง และซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้จริงทั้งหมด พร้อมเสริมว่าจริงๆ แล้วในตอนนั้นมีการเตรียม AI สำหรับ Siri อยู่ 2 เวอร์ชัน สิ่งที่เอาไปสาธิตในงาน WWDC 24 คือเวอร์ชันที่ 1 ส่วนเวอร์ชันที่ 2 เป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อยอดขึ้นมาให้มีความสามารถแบบรอบด้าน ตอบรับกับการใช้งานกับความคาดหวังของลูกค้าให้ได้มากที่สุด และตอนนี้ก็มีกำหนดที่จะเข็น Siri ออกมาภายในปี 2026

ทางด้าน Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของ Apple เสริมว่าเหตุผลจริงๆ เป็นเพราะทีมงานพบว่าซอฟต์แวร์เวอร์ชันดังกล่าว มีอัตราความผิดพลาดในระดับที่สูงเกินไปจนยากที่จะยอมรับได้ และถ้าปล่อยอัปเดตออกไปคงจะทำให้ลูกค้าผิดหวังแน่นอน ทำให้ Apple ตัดสินใจพับแผนการปล่อยฟีเจอร์ Siri ออกไปก่อน
จากนั้นเมื่อถูกถามว่า ทำไม Apple ที่มีทั้งเงินทุนและทรัพยากรคนเป็นจำนวนมาก ถึงไม่สามารถทำให้ฟีเจอร์ AI พร้อมใช้งานตามที่โฆษณาเอาไว้ได้ Craig Federighi ให้มุมมองว่า Apple ไม่ได้มองว่าตัวเองกำลังตามหลังใครในเรื่อง AI แต่มองว่า AI คือสิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือสร้างผลกระทบในระยะยาวไปอีกหลายปี Apple ไม่จำเป็นจะต้องรีบเข็นฟีเจอร์หรือเทคโนโลยีที่มีข้อบกพร่อง และช่องโหว่ออกมา เพียงแค่เพราะอยากถูกจดจำว่าทำมาก่อน
Federighi เน้นย้ำว่าเป้าหมายของ Apple ไม่ใช่การสร้าง Chatbot มาแข่งกับ ChatGPT หรือบริษัทอื่นๆ แต่เป็นการพัฒนา Apple Intelligence ให้สามารถทำงานร่วมกับทุกแพลตฟอร์มของ Apple ได้ดีที่สุด — ในลักษณะที่ ‘เข้าไปหา’ ผู้ใช้ในตำแหน่งที่พวกเขากำลังใช้งานอยู่ แทนที่จะผลักให้ผู้ใช้ต้องเปิดหน้าต่างขึ้นมาแชทกับ AI เพียงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
ที่มา: TechCrunch
Comment