หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยกำหนดให้ สถาบันการเงิน, ผู้ให้บริการ e-Payment, ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มโซเชียล ต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แล้วยังมีการออกมาตรการที่ให้ทางสถาบันการเงินคุมเข้มการทำธุรกรรม แต่ยังพบว่ายังมีคนโดนหลอกอีกมาก จึงได้ออกมาตรการใหม่เพิ่มเติม คือการจำกัดวงเงินทำธุรกรรมไม่เกิน 50,000 ต่อวัน

มาตรฐานและมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำหรับสถาบันการเงิน
มีผลตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2568 ยึดหลัก 5 ข้อ ได้แก่
- แก้ปัญหาได้ตรงจุด
- มีวิธีปฏิบัติชัดเจน
- สอดคล้องกับบริบทประเทศไทย
- ไม่ด้อยกว่ามาตรฐานต่างประเทศ
- สร้างความตื่นตัวให้ประชาชน
สาระสำคัญของมาตรการ
- ป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรม (Unauthorized Payment Fraud)
- ห้ามแนบลิงก์เสี่ยงภัยใน Mobile Banking
- จำกัดการใช้งานแอปบนอุปกรณ์ที่ไม่ปลอดภัย
- ใช้เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าและการปลอมแปลงชีวมิติ
- ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแอปฯ และห้ามทำงานร่วมกับแอปที่เสี่ยง
- การยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC)
- ต้องทำทั้งขั้นตอนการแสดงตน (Identification) และการพิสูจน์ตัวตน (Verification)
- สอดคล้องกับเกณฑ์ของ ธปท. และ ปปง.
- การตรวจสอบลูกค้าเสี่ยงสูง (EDD)
- แบ่งกลุ่มบัญชีม้า เป็น
- ม้าดำ
- ม้าเทาเข้ม
- ม้าเทาอ่อน
- ลูกค้ากลุ่มนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ต้องตรวจสอบเข้มก่อนให้บริการ
- แบ่งกลุ่มบัญชีม้า เป็น
- การจัดการบัญชีม้าและลดความเสียหาย
- แจ้งเตือนทันทีทุกครั้งที่มีการโอนเงินออก โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
- ระงับธุรกรรมและนำข้อมูลเข้าระบบแลกเปลี่ยนข้อมูล
- ระงับเงินเข้า/ออก และปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ของกลุ่มเสี่ยง
- ช่องทางแจ้งเหตุทุจริตที่รวดเร็ว
- ต้องมีสายด่วนโทรศัพท์และช่องทางออนไลน์ให้ติดต่อได้ตลอด

มาตรการใหม่ ยกระดับร่วมกับสมาคมธนาคารไทย หลังพบคนยังถูกหลอกเยอะ

แม้มาตรการก่อนหน้าที่ออก จะช่วยลดความเสียหายได้บ้าง แต่ภัยยังคงอยู่ในระดับสูง ธปท.และสมาคมธนาคารไทย จึงได้มีคำสั่งให้ ปรับวงเงินโอน/ชำระผ่านดิจิทัลต่อวันของลูกค้าบุคคลธรรมดา ให้เหมาะกับพฤติกรรมของแต่ละคน (Customer Profiling)
- วงเงินเริ่มต้น ไม่เกิน 50,000 บาท/วัน
- หากลูกค้ามีเหตุจำเป็นต้องโอนเกินวงเงิน สามารถแจ้งธนาคารเพื่อขอเพิ่มวงเงินชั่วคราวได้
ส่วนใครที่ปกติมีการทำธุรกรรมวงเงินมากกว่า 50,000 บาท ก็ไม่ต้องกังวล เพราะธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า
จุดประสงค์คือ
- ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพโอนเงินจำนวนมากได้เร็ว
- จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ

เป้าหมายหลักของการยกระบบมาตรการใหม่
- ลดความเสี่ยงและความเสียหายจากมิจฉาชีพ
- เพิ่มโอกาสในการกักเงินที่ผิดกฎหมายได้ทันเวลา
- ทำให้ผู้เสียหายมีโอกาสได้เงินคืนมากขึ้น

เริ่มเมื่อไร?
มาตรการนี้จะเริ่มใช้กับ ลูกค้าใหม่ ที่เพิ่งเปิดใช้บริการ mobile banking หรือ internet banking ภายในสิ้นสิงหาคม 2568 ส่วน ลูกค้าปัจจุบัน จะเริ่มภายในสิ้นปี 2568

Comment