เชื่อว่าหลายๆคนที่เล็งเครื่องดูดฝุ่น dyson กันอยู่ ต้องมีงงกันบ้างแหละว่าที่ขายๆกันอยู่มันแตกต่างกันยังไง เราจะซื้อตัวไหนดี หาข้อมูลจากหน้าเว็บก็รู้สึกว่าดูยาก ไม่ได้ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นขนาดนั้น เพราะไม่มีการเปรียบเทียบข้อมูลที่ชัดเจน แต่ละรุ่นดูได้ค่อนข้างยาก ซึ่งผมก็มีปัญหาเดียวกัน และเสียเวลาในการเรียบเรียงข้อมูลอยู่หลายชั่วโมง จึงของนำเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆที่สนใจอยู่ได้ทราบกันด้วย

ถ้านับรวมเฉพาะรุ่นใหญ่ๆที่วางขายตอนนี้จะมีทั้งหมด 6 รุ่น ซึ่ง สามารถแบ่งกลุ่มเครื่องดูดฝุ่น dyson ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆตามราคา ได้แก่

  1. ราคา 1-2 หมื่นบาท : ไดสันไม่มีเครื่องดูดฝุ่นราคาต่ำกว่าหมื่นนะครับ
    1. V8
    2. Digital Slim Fluffy
    3. Micro
    4. Omni-glide
  2. ราคา 2-4 หมื่นบาท
    1. Dyson V12
    2. Dyson V12s
    3. Gen5 detect

โดยรุ่น V12, digital slim, v8 จะมีรุ่นยิบย่อยอีกอย่างน้อย 2-3 รุ่น ซึ่งจริงๆ ต่างกันที่หัวดูดที่แถมเป็นหลัก แต่มีการตั้งชื่อให้ดูงงไปงั้น และวันดีคืนดีก็อาจจะมีรุ่นใหม่ปรับหัวดูดเพิ่มเข้ามาอีกได้ อันนี้บอกเผื่ออนาคตไว้เลย จะได้ไม่งงกัน

ความแตกต่างหลักๆ ของแต่ละช่วงราคา คือกำลังดูด และหัวดูด

  • โดยรุ่นต่ำกว่า 20k จะมีแรงดูดในช่วง 50-100AW
  • ส่วนมากกว่า 20k จะมีแรงดูดมากกว่า 130AW ขึ้นไปจนถึง 280AW

หลายคนก็น่าจะสงสัยว่าต้องแรงดูดเท่าไหร่ถึงจะพอ ซึ่งถ้าไปดูที่กำลังดูดตอนเปิดโหมดประหยัดและมีเดียม ก็จะเห็นว่า แทบไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะตัว Omni-glide ที่รีวิวหลายแห่งจะบอกกันว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดูดสะอาดของรุ่นนี้คือกลไลของหัวดูดซะมากกว่า ดังนั้นถ้าจะซื้อไปดูดฝุ่นที่พื้นเรียบทั่วไป เช่น พื้นกระเบื้อง ไม้ปาร์เก้ รุ่นไหนก็ไม่ต่างกัน แต่เราต้องการแรงดูดหนักๆหน่อย สำหรับทำความสะอาดพื้นผิวที่มีความหนามากขึ้น ซึ่งความแรงแต่ละระดับมันจะต่างกันขนาดไหน

เริ่มจาก V8 จะเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด แต่ส่วนนึงก็น่าจะเพราะออกมานานกว่าใครตั้งแต่ปี 2016 กำลังดูด การใช้งานทั่วไป ถือว่าสู้กับรุ่นอื่นๆได้สบายๆ แต่จะความล้ำอาจจะยังน้อยกว่า โดยการปรับโหมดยังใช้เป็นสลักธรรมดา และกดไกเพื่อให้ทำงานอยู่ ไม่มีหน้าจอ LCD บอกสถานะแต่อย่างใด ถอดเปลี่ยนแบตก็ทำได้ลำบากกว่ารุ่นอื่น โดย V8 จะมีรุ่นย่อยชื่อ Focus Clean ที่ราคาถูกกว่า แต่หัวดูดที่แถมมาจะสำหรับดูดโต๊ะทำงาน โซฟา ม่าน ไม่มีหัวดูดพื้นแถมมาให้

ราคาปกติอยู่ช่วงหมื่นกลางๆ แต่ช่วงโปรล่าสุดหาได้ที่ราว 11,xxx – 12,xxx บาท เห็นแล้วก็ต้องมีคิดนะ ว่ากำลังจะมีรุ่นใหม่ออกมารึเปล่า

ถัดมาที่ตัว Digital Slim Fluffy ออกมาช่วงปี 2020 ซึ่งราคาเต็มมันจะเกิน 20k แต่ตอนโปรจะราคาลงมาต่ำกว่า 20k เสมอเลยขอจัดมาในกลุ่มต่ำกว่า 20k โดยแรงดูดใกล้เคียงกับ V8 แต่เพิ่มเรื่องความล้ำที่ V8 ขาดไปเข้ามา ปรับโหมดได้ทั้ง eco / auto / boost มีหน้าจอ LCD และปุ่มปรับโหมด แต่ยังต้องกดไกเพื่อให้ทำงานอยู่ มีรุ่นย่อยเป็นตัว Origin ซึ่งจะตัดหัว mini motorized สำหรับดูดโซฟา ผ้าม่านออกเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่ากันเลย แต่ชื่อที่ตั้งว่าเป็น Origin นี่ก็ชวนเข้าใจผิดซะเหลือเกิน

โดย digital slim นี้จะสามารถใช้หัวดูดต่างๆ ร่วมกับรุ่น V12 ได้

ส่วนตัว Micro และ Omni-glide ขอพูดรวบไปเลยละกัน เพราะสองตัวนี้สเปคจะค่อนข้างใกล้กันมาก มีความแรงสูงสุดในการดูดที่ไม่ได้ต่างกัน และยังสามารถใช้หัวดูดร่วมกันได้อีก ซึ่งตัว Micro นี่จะมีจุดเด่นที่เบาาาา ที่สุดในเครื่องดูดฝุ่นทุกตัวแล้ว และอัปเกรดหัวดูดไปใช้ตัว fluffy optic ซึ่งดีกว่าหัว slim fluffy ธรรมดาบน digital slim และ v8 ที่มีเลเซอร์ ทำให้เห็นฝุ่นบนพื้นได้ง่ายขึ้นมาก มั่นใจว่าดูดได้สะอาดมากกว่า

ส่วนตัว omni-glide จะมีหัวพิเศษกว่าใครดูดได้ทุกทิศทาง ซึ่งผมเองก็ใช้รุ่นนี้อยู่ และชอบที่สุด เพราะมันทั้ง เบา ลื่น ปาดไปปาดมาได้สะดวกที่สุดแล้ว

แต่ด้วยความเบาของทั้งคู่ มันก็จะมีข้อแลกเปลี่ยนที่มันจะมีแบตที่เล็ก พร้อมถังเก็บฝุ่นจิ๋วๆ 0.2 ลิตร ใช้งานได้สูงสุดแค่ 20 นาที ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับคนที่อยู่คอนโด ทำความสะอาดห้องที่ไม่ได้ใหญ่มากเป็นหลักซะมากกว่า แต่ส่วนตัว ก็เอาไปดูดห้องพื้นไม้เป็นร้อยตรม.ได้อยู่ และคิดนะว่าถ้าให้ดูดฝุ่นอย่างเดียวเกิน 20 นาทีก็แอบขี้เกียจจะดูดเหมือนกัน

สรุปหัวดูด dyson มีกี่แบบ อะไรบ้าง ต่างกันยังไง

มาดูดสรุปหัวที่แถมกันหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง คือเหมือนจะแถมต่างกันนะ แต่จริงๆ ก็เป็นหัวดูดคล้ายๆกัน ที่มีหัวดูดพื้น หัวดูดเล็ก หัวปากแคบ และหัวดูดบนโต๊ะ ต่างที่รายละเอียดนิดๆหน่อยๆแทน

dyson digital slim fluffy vs v8 slim fluffy

โดยสรุปแล้วในกลุ่มนี้ ถ้าอยากประหยัดจะไปที่ V8 ก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับความโบราณของมันนิดนึง กับอาจจะมีรุ่นใหม่ออกมาแทนได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าอยู่ห้องไม่ใหญ่มากอยากได้หัวเบาๆ ก็ไปได้เลยทั้ง micro หรือ omni-glide เลือกเอาว่าจะเอาหัวเลเซอร์ หรือว่าหัวดูดทุกทิศทาง

เปรียบเทียบไดสัน

มาถึงกลุ่มเกิน 20k ซึ่งมีเป็น V12 และ Gen5 detect ที่ขายในบ้านเรา โดย V12 จะมีรุ่นย่อยเยอะถึง 5 รุ่น ชวนปวดหัวดีมาก แต่อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าความต่างจริงๆจะอยู่ที่หัวดูดนั่นแหละ แต่ตัว Origin จะมีการลดแรงดูดสูงสุดจาก 150AW เหลือ 130AW ด้วยรวมถึงหน้าจอ LCD ก็ยังบอกข้อมูลได้ไม่ละเอียดเท่า ส่วนตัว Submarine Complete นอกจากจะได้ครบทั้งหมดแล้ว ยังมีความพิเศษเพิ่มเข้ามาที่ตัวกรองเป็น ​HEPA ทั้งเครื่อง แต่ส่วนตัวก็รู้สึกว่าตัวอื่นที่ไม่ HEPA มันก็ดีมากแล้วนะ

โดยจุดเด่นของ V12 ที่ต่างจากรุ่นที่ราคาต่ำกว่าก็ทั้งเรื่อง

  • แรงดูดของ V12 จะขึ้นไปสูงสุดที่ 150 AW
  • ใช้งานได้ยาวนาน 60 นาที
  • ถังเก็บฝุ่น 0.35 ลิตร
  • แต่ก็แลกมากับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาด้วย

และเรื่องหัวดูดก็จะมีตัวพิเศษอย่าง motorbar, หัวดูดเก็บเส้นผม, หัวถูพื้น submarine ซึ่งเป็นหัวเวอร์ชั่นใหม่กว่า มีคลิปหนีบด้ามดูดให้ รวมถึงปรับปุ่มการทำงานให้กดแค่ปุ่มเดียวพอ ไม่ต้องเหนี่ยวไก หน้าจอ LCD ก็บอกข้อมูลละเอียดกว่า ตรวจจับได้ด้วยว่าฝุ่นที่ดูดมามีประเภทไหนบ้าง ซึ่งมันก็จะล้ำกว่ารุ่นราคาประหยัดทั้งหมดนั่นเอง แต่อย่างที่บอกนะครับว่าไม่รวมตัว Origin ที่ภาพรวมคล้ายกับ digital slim fluffy เอาซะมากๆเลย

เปรียบเทียบ dyson v12 detect slim absolute vs gen5detect

ส่วนตัว Gen5 detect หลักๆคือมีแรงดูดที่เพิ่มขึ้น ใช้งานได้นานขึ้น แต่ก็มีน้ำหนักเครื่องที่เยอะขึ้นมากเช่นกัน ตัวนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ต้องทำความสะอาดหนักๆ ตลอดเวลาล่ะมั้ง

เปรียบเทียบ dyson v12 detect slim absolute vs gen5detect

มาดูสรุปความแตกต่างของ dyson v12 แต่ละรุ่นกันหน่อยว่ามีหัวต่างกันยังไงบ้าง

เปรียบเทียบ dyson V12 แต่ละรุ่น ต่างกันยังไง

ความแตกต่างนึงของรุ่น v12 จะเป็นที่ตัว absolute ซึ่งเห็นว่าจะหัวเลเซอร์จะเป็นรุ่นอัปเกรด จาก Fluffy Optic เป็น Laser Slim Fluffy ซึ่งจะมีความแรงของเลเซอร์ที่มากกว่า ซึ่งก็ไม่ได้มีการแจ้งบอกอะไรถึงการอัปเกรดนี้ ใครซื้อไปแล้วได้เป็นหัวอัปเกรดบ้าง ก็มาบอกกันหน่อย

เปรียบเทียบหัวเลเซอร์ fluffy optic ใหม่ vs เก่า

และตัวที่ทำให้ V12 มีราคาแพงต่างกันมากๆ ก็จะเป็นหัว Submarine และหัว Motorbar ซึ่งมันจะคุ้มค่ากับการจ่ายขนาดไหน อันนี้ไว้ลองให้ดูกันอีกทีนะ ซึ่งตัว Motorbar อันนี้เราซื้อมาแล้ว แต่ต้องไปหาหัว Submarine มาลองกันเพิ่มก่อน ซึ่งหัว Submarine จะไม่สามารถใช้กับ V12 ได้ทุกรุ่นนะ ต้องเป็น V12s เท่านั้น เพราะตัว Software จะปรับแต่งมาให้ใช้กับหัวดูดได้ ไว้จะมาเล่าให้ฟังกันอีกทีละกัน เช่นเดียวกับพวกแปรงหัวนิ่ม อันนี้ก็แอบอยากลองว่ามันเวิร์คขนาดไหนนะ

เปรียบเทียบหัว dyson แต่ละรุ่น แถมต่างกันยังไง

สรุป dyson รุ่นที่สามารถใช้งานหัวดูดร่วมกันได้

  • V7 / V8 / V10 / V11
  • V12 / Digital slim fluffy
  • micro / omni-glide

แต่เรื่องที่อยากรู้ อยากทดสอบที่สุดเนี่ย ก็คือเรื่องแรงดูดว่า 100AW+ เนี่ย มันจะเอาไปทำไม จำเป็นขนาดนั้นเลยรึเปล่า และถ้าต้องแรงแบบนี้ขจัดฝุ่นฝังลึก ซักเลยดีกว่ามั้ย

ถ้ามีโอกาสทดสอบเพิ่มเติมยังไงเดี๋ยวจะมาอัปเดตให้ฟังกันอีกทีนะครับ