Dell ออกมายอมรับว่าอัตราการอัปเกรดไป Windows 11 นั้นทำได้ช้ากว่าตอน Windows 10 มาก โดยผู้บริหารของบริษัทอธิบายว่าถ้าเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับรอบก่อนที่ Windows 7, 8 และ 8.1 หมดซัพพอร์ต ตอนนั้นผู้ใช้ย้ายมา Windows 10 ได้เร็วกว่าตอนนี้อยู่ประมาณสิบเปอร์เซ็นต์กว่า ๆ สะท้อนว่าผู้ใช้จำนวนไม่น้อยยังไม่รีบอัปเกรด อาจเพราะยังพอใจกับเครื่องเดิมหรือยังไม่เห็นความจำเป็นต้องย้ายระบบตอนนี้

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนยังไม่ย้ายมา Windows 11 คือมีเครื่องพีซีทั่วโลกประมาณ 500 ล้านเครื่องที่ไม่ผ่านสเปกขั้นต่ำ ทำให้ไม่สามารถอัปเกรดได้หากไม่เปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ ต่างกับตอน Windows 10 ที่เปิดให้อัปเกรดฟรีและมีข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์น้อยกว่ามาก คนเลยแห่อัปเกรดกันเยอะกว่า

แม้ดูเผิน ๆ จะเหมือนเป็นโอกาสให้ตลาดพีซีคึกคักขึ้น แต่ Dell กลับมองว่ายอดขายช่วงต่อจากนี้น่าจะทรงตัว เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่อยากซื้อเครื่องใหม่แค่เพื่อรองรับระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุด

ในขณะเดียวกัน Windows 11 ก็ยังมีปัญหายิบย่อยที่ผู้ใช้บางส่วนบ่น ทั้งเรื่องบั๊กและความเสถียร แม้ Microsoft จะเร่งแก้ไขและดันฟีเจอร์ AI เพื่อทำให้ระบบดูน่าอัปเกรดมากขึ้นก็ตาม ผู้ผลิตอย่าง Dell และ AMD ก็ช่วยโปรโมตฟีเจอร์ AI ตามกระแส แต่โดยรวมแล้วภาพที่เห็นคือผู้ใช้จำนวนมากยังเลือกอยู่กับ Windows 10 ต่อไปจนกว่าจะถึงจังหวะที่คอมเครื่องเก่าพัง แล้วค่อยซื้อเครื่องใหม่และอัปเกรดตอนนั้นแทน

แม้ตลาดพีซีโดยรวมอาจไม่หวือหวาจากการเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ แต่ผลประกอบการของ Dell ยังแข็งแรง โดยไตรมาสล่าสุดทำรายได้ราว 27,000 ล้านดอลลาร์ และยอดคำสั่งซื้อเซิร์ฟเวอร์สำหรับงานด้าน AI ก็เติบโตต่อเนื่อง กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของบริษัทในช่วงนี้ แทนที่ตลาดพีซีทั่วไปที่ยังซบเซาอยู่พอสมควร

ที่มา : neowin