หลังจาก Disney+ เปิดตัวให้ใช้งานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019 ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งอันดับหนึ่งอย่าง Netflix ก็น่าจะเริ่มมีหนาว ๆ ร้อน ๆ จากจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย Disney+ ได้ชูจุดแข็งที่สำคัญอย่างหนัง/ซีรีส์ Marvel และผลงานอีกมากมายของ Pixar ในการดึงดูดผู้ใช้ทั่วโลก ซึ่งตัวเลขผู้ใช้ Disney+ ล่าสุดในไตรมาส 2 ขยับขึ้นมาเป็น 116 ล้านคน มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ถึง 3.2 ล้านคน

ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทาง Netflix มีผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก 4 ล้านราย และในไตรมาสที่ 2 (เม.ย. – มิ.ย.) เพิ่มขึ้นเพียง 1.5 ล้านราย ส่วนในไตรมาส 3 นี้ (ก.ค. – ก.ย.) คาดการณ์ตัวเลขกันว่าจะเพิ่มขึ้นอีกราว 3.5 ล้านคน รวมสามไตรมาส Netflix จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นราว 9 ล้านราย เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับทาง Disney+ ในไตรมาส 2 เพียงไตรมาสเดียวก็เพิ่มขึ้นถึง 12.4 ล้านราย รวมจำนวนผู้ใช้บริการใหม่สามไตรมาสของ Netflix ยังมีจำนวนน้อยกว่า Disney+ เพียงไตรมาสเดียว ซึ่งน่าจะพอจะแสดงให้เห็นได้ว่า Disney+ เติบโตในอัตราที่สูงมาก

Disney+ เติบโตแบบก้าวกระโดด อาจมีผู้ใช้เพิ่ม 20 ล้านคนในปีนี้

จากการวิเคราะห์ของคุณ Mark Zgutowicz จาก Rosenblatt ที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับ CNBC ได้กล่าวว่า Disney+ มีจำนวนผู้ใช้งานตาม Netflix อยู่ที่ประมาณ 90 ล้านคน สอดคล้องกับรายงานของทาง Seeking Alpha ที่บอกว่า Netflix มีผู้ใช้งานที่ 209 ล้านคน ส่วน Disney+ มีผู้ใช้งาน 116 ล้านรายทั่วโลก และภายในปีนี้ Disney+ น่าจะดึงผู้ใช้ไล่ตาม Netflix เพิ่มได้อีกราว 20 ล้านรายในปีนี้ ซึ่งถ้าเติบโตในอัตราความเร็วเท่านี้ต่อไป Disney+ จะมีผู้ใช้งานที่มากกว่า Netflix ได้ภายใน 5 ปีอย่างไรก็ดี หากเรานับรวม Hulu และ ESPN ที่ก็เป็นบริการสตรีมมิ่งของ Disney เช่นกัน ยอดผู้ใช้รวมทั้งหมดของบริการสตรีมมิ่งจาก Disney จะสูงถึง 176 ล้านคนทั่วโลก

3 อันดับบริการสตรีมมิ่งที่มีผู้ใช้เยอะที่สุดในโลก

  1. Netflix 209 ล้านราย (74 ล้านราย ในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา)
  2. Disney+ 116 ล้านราย (38 ล้านราย ในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา)
  3. HBO Max 67.5 ล้านราย (47 ล้านราย ในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา)

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายคนไม่คิดว่า Disney+ จะเป็นคู่แข่งของ Netflix เนื่องจาก Disney+ เป็นสตรีมมิ่งที่มีเนื้อหาส่วนใหญ่สำหรับเด็ก ต่างจาก Netflix ที่มีเนื้อหาที่หลากหลาย  อย่างไรก็ดีก็มีคนให้ความเห็นต่างออกไปว่าในแอปฯ Disney+ ก็มีเนื้อหาครบทุกช่วงอายุ ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ อย่างล่าสุดก็มีมินิซีรีส์จาก Marvel อย่าง WandaVision และ Loki ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในช่วงที่ผ่านมา และทาง Disney ได้ออกมาประกาศอีกว่า Loki จะมีซีซันใหม่ด้วย นอกจากนี้ ผลงานจากทาง Pixar เองก็ได้รับความนิยมด้วย เช่น  อนิเมชัน Soul, Raya and the Last Dragon

ส่วนบริการ HBO Max จาก Warner Media Entertainment ก็เป็นบริการที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 ตามหลัง Netflix และ Disney+ แบบห่างๆ แต่ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา HBO Max มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านคนทั่วโลกเอาชนะ Netflix ที่มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเพียง 1.5 ล้านรายเท่านั้น 

NETFLIX รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้พุ่งเหนือทุกเจ้า

แม้ว่าในเรื่องการเติบโตของผู้ใช้งาน Netflix อาจจะดูไม่ดีเทียบเท่ากับคู่แข่ง แต่เมื่อพูดถึงรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ หรือ Average Revenue Per User (ARPU)  Netflix กลับเป็นเจ้าที่สามารถเรียกเงินจากกระเป๋าของผู้ใช้ได้สูงกว่าใคร โดยผู้ใช้ Netflix ยอมจ่ายค่าบริการรายเดือนให้เฉลี่ยสูงถึง 14.54 ดอลล่าร์ต่อผู้ใช้ต่อเดือน ในขณะที่ทาง Disney+ มีค่าบริการเฉลี่ยทั่วโลก (Global ARPU) อยู่ที่ 4.16 ดอลล่าร์เท่านั้น ส่วน HBO Max มีค่าบริการเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 11.90 ดอลล่าร์ หรือราว 395 บาท

ราคาแพ็กเกจของ Netflix ในประเทศไทย

ราคาแพ็กเกจของ Disney+ hotstar ในประเทศไทย

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากค่าบริการของ Disney+ Hotstar ในประเทศไทย ที่มีราคา 799 บาทต่อปี คิดเป็นค่าบริการเฉลี่ยต่อเดือนไม่ถึง 2 ดอลล่าร์เลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน จะเป็นวัน Disney+ Day ซึ่งจะมีโปรโมชั่นที่จะดึงดูดคนมาใช้ Disney+ มากขึ้น และคาดว่าจะมีแพ็กเกจราคาพิเศษตามมาด้วยเช่นกัน

อีกบริการนึงที่ถูกพูดถึงอยู่บ้างในบ้านเรา อย่าง  Amazon เอง ก็มีบริการ Amazon Prime Video เป็นวิดีโอสตรีมมิ่งคู่แข่งของ Disney+ และ Netflix เช่นกัน โดยในปีที่ผ่านมาผู้ใช้ Amazon Prime Video มีการสตรีมเนื้อหาต่างๆ ไปมากกว่า 175 ล้านครั้ง ซึ่งบริการนี้ในไทยจะมีราคาค่าบริการอยู่ที่ 189 บาทต่อเดือน ในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศ Amazon จะเป็นบริการที่ได้รับความนิยมพอสมควร เพราะมีแบบรวมแพ็กเกจที่ชื่อว่า Amazon Prime ในราคา 12.99 ดอลล่าร์ต่อเดือน โดยจำนวนผู้สมัครใช้บริการ Amazon Prime ทั่วโลกมีมากถึง 200 ล้านราย แต่การจะเอาจำนวนผู้ใช้นี้ไปเปรียบเทียบกับบริการวิดีโอสตรีมมิ่งอื่น ก็ดูจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่นัก เพราะผู้สมัครบริการนี้จะนอกจาจะได้ Amazon Prime Video แล้วยังได้บริการอื่น เช่น บริการส่งฟรี Two-Day Shipping, Amazon Music ฯลฯ อีกด้วย ซึ่งจัดว่าเป็นแพ็กเกจที่มัดรวมบริการหลายอย่างในเครือมาให้แบบคุ้มค่านั่นเอง

สรุป

การแข่งขันวิดีโอสตรีมมิ่งในปีนี้ค่อนข้างดุเดือด ทาง Netflix เองก็พยายามทำเนื้อหาให้น่าสนใจมากขึ้นด้วยการทุ่มงบมากขึ้นสำหรับทำออริจินัลคอนเทนต์ ในส่วนของ Disney+ เองก็มีจุดแข็งที่ ชัดเจนคือคอนเทนต์ที่ดึงดูดคนให้มาใช้ อย่างการ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์, หนังและซีรีส์จาก Marvel และออริจินัลคอนเทนต์ที่จะออกมาในอนาคต ซึ่งในปี 2021 นี้ ด้วยสถานการณ์โรคระบาด ทำให้คนต้องอยู่บ้านกันมากขึ้น บริการสตรีมมิ่งจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน และเราคงได้เห็นคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจจากทั้งสองผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งนี้มากขึ้นแน่นอน และท้ายที่สุดแล้ว Disney+ จะเพิ่มยอดผู้ใช้ได้ตามที่มีการคาดการณ์หรือไม่ ทีมงาน Droidsans จะมาอัปเดตให้แน่นอนครับ

 

 

ที่มา:Digitalcommerce360, Bloomberg via The Standard, Phonearena