Vitalik Buterin ผู้สร้างเหรียญและเครือข่าย Ethereum ออกมาบอกปัดแผนใหญ่ Metaverse ของ Mark Zuckerberg เตือนว่ารีบด่วนตัดสินใจจนเกินไป ทุ่มเงินเป็นพันล้านไปให้ตัวโปรดักส์ที่อาจไม่มีใครสนใจใช้ด้วยซ้ำ โดยบอกอีกว่าโปรเจกต์โลกเสมือนทั้งหลายในตอนนี้ ก็ไม่ได้ดูน่าเชื่อถือหรือจะไปรอดถึงฝั่งฝันได้สักราย

เท่าที่ผ่านมานะครับ นักลงทุนจำนวนมากเค้าก็คาดการณ์กันว่าอภิมหาโปรเจกต์ Metaverse ของตา Mark Zuckerberg มีฤกษ์ที่จะ ‘รุ่งริ่ง’ มากกว่า ‘รุ่งโรจน์’ สังเกตได้จากหุ้นของบริษัท Meta เองที่มูลค่าหายฮวบไปเกินครึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

และในตอนนี้ก็มีอีกหนึ่งเสียงสำคัญที่ก็คิดเหมือนกัน ออกมาส่งเสียงเตือนก่อนจะสายไป

Vitalik Buterin ผู้สร้างบล็อกเชน Ethereum

เสียงที่ว่าคือนาย Vitalik Buterin ผู้สร้างเหรียญ Ethereum ที่มีมูลค่ารองเป็นอันดับสองจากเหรียญ Bitcoin นั่นเอง โดยเค้าออกมาแสดงความเห็นว่า ทั้งตัว Mark และบริษัทของเค้ากำลังรีบด่วนตัดสินใจจนเกินไป จนยอมโยนเงินเป็นพันล้านดอลลาห์ ทุ่มไปให้ตัวโปรดักส์ที่ท้ายที่สุดแล้ว อาจไม่มีใครสนใจใช้ด้วยซ้ำ

Vitalik โพสเอาไว้ว่า “ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วผู้คนต้องการอะไร เพราะฉะนั้นถ้า Facebook ยังฝืนทำต่อไปก็คงไม่ประสบความสำเร็จ”

และคำเตือนเหล่านี้ก็สำคัญมาก ๆ ด้วย เพราะ Vitalik เป็นคนที่จะได้ผลประโยชน์โดยตรงจากความสำเร็จของ Metaverse เพราะว่าเหรียญที่เค้าสร้างทั้งสองอัน ETC และ ETH นั้น จะเป็นค่าเงินกลางที่ใช้ในการซื้อขายกันในโลก Metaverse นั่นแหละ ซึ่งก็เป็นไปตามแผนสร้างระบบการเงินแบบ ไร้ตัวกลาง (DeFi) ที่เรียกกันว่า Web3 ครับ

ซึ่งในขณะนี้ ขนาด Mark Zuckerberg เองก็คงจะปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าแผนการของเค้ายังมีเส้นทางอันยาวไกลกว่าจะไปถึงฝั่งฝัน เพราะดูจากทั้งโครงการ Metaverse และแผนก Reality Labs จำเป็นต้องใช้งบจำนวนมากในการสร้าง ทำให้ตัวบริษัทต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไปราว 3 พันล้านดอลลาร์ในแค่ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมานี้ล้วน ๆ

แล้วเมื่อมาดูรายได้จากธุรกิจหลักอย่าง Facebook และ Instagram ที่ค่อย ๆ ลดลงไปเหลือเพียง 29% จาก 43% หากเทียบกับปีก่อน ทำให้ขณะนี้ผลประกอบการของ Meta อยู่จุดที่ย่ำแย่ที่สุด นับตั้งแต่ผลรายงานของไตรมาสที่ 4 เมื่อปี 2020 หรือเมื่อสามปีที่แล้วนะครับผม

จากยุค Web2 ของ Facebook มาสู่ยุค Web 3 ของ Meta

แต่เมื่อผลตัวเลขมันออกมาเป็นอย่างนี้ ผู้คนก็เริ่มหวั่นไหวไม่คิดว่าตัวทำเงินหลักของทั้ง Facebook และ Instagram จะไปสู้คู่แข่งบริษัทจีน ByteDance เจ้าของแอป Tiktok ได้ แม้ว่าจริง ๆ แล้วช่วงนี้ Tiktok ก็กำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงซาอย่างช้า ๆ แล้วก็ตาม

โดยมูลค่าหุ้น Meta ร่วงลงมา 54% นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ ถือว่าหนักมาก ๆ เมื่อไปเทียบกับภาพรวมมูลค่าหุ้นเทค Nasdaq ที่ลดลงไปเพียง 20% ซี้ดสิครับอย่างนี้

ซึ่งการที่นาย Mark Zuckerberg ถึงขั้นยอมเปลี่ยนชื่อบริษัท ‘Facebook’ ที่ข้องเกี่ยวโดยตรงกับตัวเว็บในยุค Web2 ให้กลายเป็น Meta ก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ว่าพร้อมมุ่งขยายธุรกิจให้เติบโตต่อไปในอนาคต

Mark เองก็ออกมาชี้แจงกับนักลงทุนว่า ปัญหาทั้งทางด้านธุรกิจและตัวผลิตภัณฑ์ในขณะนี้ แทนที่จะทำให้เค้าหมดหวังและคิดทบทวนใหม่ กลับกลายเป็นตัวบ่งชี้ว่า การพัฒนา Metaverse ต่อไปนั้นจะยิ่งดึงเม็ดเงินมหาศาลถึงขั้นพันล้านและหมื่นล้านเข้าสู้บริษัทได้ 

โดยเค้าเองก็ยอมรับว่า การสร้าง Metaverse นั้นจะต้องใช้ทุนและเวลาในการพัฒนาเยอะมาก ๆ ไปต่ออีกหลายปีเลย และก็ให้คำสัญญาว่าจะพยายามลดค่าใช้จ่ายลงในอนาคต

และถึงแม้ว่าเค้าจะรู้ตัวว่ารายได้จาก Reality Labs ในไตรมาสนี้ จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ เป็นกระแสต่อมาจากไตรมาส 2 แต่เค้ามั่นใจว่าโอกาสดี ๆ อย่างนี้นั้นถือว่าคุ้มค่ามากที่จะลงทุนไปกับมันครับ เพราะว่า Metaverse มันจะสร้างประสบการณ์เชื่อมต่อกับคนอื่นแบบสุดพิเศษอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยทีเดียว

Metaverse โมเดลธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ถึงแม้ตัว Metaverse เองจะต้องรออีกหลายปีเลยกว่าจะพัฒนาเสร็จ แต่หลาย ๆ ธุรกิจก็เริ่มจับจองลงทุนซื้อที่ดินเสมือนออนไลน์กันแล้ว แม้จะไม่เคยมีธุรกิจไหนที่เคยใช้อะไรพวกนี้มาก่อนจริง ๆ

Yuga Labs ผู้สร้าง NFT Bored Ape Yacht Club ก็เคยคิดร่วมกระแสโลกเหสมือนด้วยการเปิดตัว Otherside metaverse มาก่อนและได้ดึงผู้คนให้มาเข้าร่วมได้ราว 4,500 คนเมื่อเดือนที่แล้ว

แต่หากเรามองข้ามเรื่องการสัมผัสประสบการณ์ในโลกเสมือนแบบ real time ไปก่อน สิ่งที่ต้องมาสงสัยกันต่อไปก็คือ จะมีอะไรที่ดึงดูดให้คนมาสนใจพวกโลกเสมือนได้บ้าง นอกจากเรื่องการเก็งกำไรทำเงินกันไปกันมา อย่าง Otherdeed NFT มีให้ซื้อขายกันบนแพลทฟอร์ม OpenSea

แล้วเมื่อเกมเมอร์เป็นกลุ่มคนที่คุ้นชินกับระบบเควส ระบบสกิล และเรื่องราวอะไรมากมายอยู่แล้ว ยิ่งตกเป็นเป้าหมายหลักที่เกมหลาย ๆ เกมจะยัดเยียดใส่ระบบ NFT เข้ามาหาเรื่องทำเงินในเกมกันใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา

ในเมื่อสภาพโดยรวมเกี่ยวกับโลก Metaverse มันเป็นกันประมาณนี้ Vitalik Buterin ก็เลยคอมเมนต์ว่าความพยายามที่จะผลักดันโลกเสมือนทั้งหลายในขณะนี้ มันไม่ได้เรื่องอะไรเท่าไหร่หรอกนะ

แต่ล่าสุด Meta ก็ยังมีความหวังดวงใหม่มาในตัวแว่นตา VR Project Cambria ที่จะมาเป็นสินค้าหลักต่อจากแว่นตัวเก่า Oculus Quest 2 ครับ

โดย Mark บอกเอาไว้ว่า แว่น VR ตัวใหม่นี้จะเป็นสินค้ารุ่นท็อปที่เน้นผู้ใช้งานแบบ professional หรือไว้ใช้ทำงานเป็นหลัก ด้วยความคมชัดสูงและสีสันสมจริงเป็นพิเศษ และถ้าใครได้มีโอกาสใช้ก็คงจะประทับใจกันไปตาม ๆ กันอย่างแน่แท้

สุดท้ายแล้วไม่ว่าตา Vitalik Buterin หรือ Mark Zuckerberg จะมีความเห็นแตกต่างกันอย่างไร พวกเค้าทั้งสองก็อาจมีส่วนถูกกันอยู่ทั้งสองคน และถึงแม้โปรเจกต์นี้จะเป็นจุดสำคัญสำหรับโลกการติดต่อสื่อสารของผู้คนในอนาคต ก็อาจไม่ใช่บริษัท Meta เท่านั้นที่สามารถเป็นผู้คว้าชัยในโลกเทคโนโลยีใหม่นี้ได้อย่างแน่นอน 100% ครับ

 

ที่มา : Fortune