เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้วกับมือถือปากกาเทพรุ่นล่าสุดอย่าง Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องได้รับการอัพเกรดจาก Galaxy Note รุ่นที่ผ่านๆ มา ไม่ใช่แค่มีสเปคที่แรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ ทั้งปากกา S Pen, กล้อง, DeX ฯลฯ อีกด้วย.. แต่ถ้าหากเอาไปเทียบกับ Galaxy Note รุ่นก่อนหน้าอย่าง Note 8 และ Note 9 มันจะแตกต่างกันจนน่าลงทุนเปลี่ยนมาใช้รึเปล่า?
ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อน ว่าสเปคของมือถือทั้ง 4 รุ่น ก่อนครับ ว่าแต่ละรุ่นจะแตกต่างกันแค่ไหน
Galaxy Note 10+ | Galaxy Note 10 | Galaxy Note 9 | Galaxy Note 8 | |
หน้าจอ | Dynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ | Dynamic AMOLED ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รองรับ HDR10+ | S AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10 | S AMOLED ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10 |
CPU | Exynos 9825 | Exynos 9825 | Exynos 9810 | Exynos 8895 |
GPU | Mali-G76 | Mali-G76 | Mali-G72 MP18 | Mali-G71 MP20 |
RAM | 12GB | 8GB | 6GB / 8GB | 6GB |
ความจุ | 256GB UFS 3.0 | 256GB UFS 3.0 | 128GB / 512GB | 64GB |
กล้องหลัง | เลนส์ tele 2X 12 MP (f/2.4), OIS เลนส์ Wide 12MP (f/1.5, f/2.4), OIS เลนส์ Ultra Wide 16MP (f/2.2) Depth Vision | เลนส์ tele 2X 12 MP (f/2.4), OIS เลนส์ Wide 12MP (f/1.5, f/2.4), OIS เลนส์ Ultra Wide 16MP (f/2.2) | เลนส์ wide 12MP (f1.5/2.4), OIS เลนส์ tele 2X 12MP (f/2.4) | เลนส์ wide 12MP f/1.7 เลนส์ tele 2X 12MP f/2.4 |
กล้องหน้า | 10MP (f/2.2) | 10MP (f/2.2) | 8MP (f/1.7) | 8MP (f/1.7) |
ระบบเสียง | ลำโพงสเตอรีโอ AKG, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟัง | ลำโพงสเตอรีโอ AKG, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟัง | ลำโพงสเตอรีโอ AKG, Dolby Atmos, มีรูหูฟัง | ลำโพงเดี่ยว, Dolby Atmos, มีรูหูฟัง |
เซ็นเซอร์ | fingerprint (บนหน้าจอ), accelerometer, barometer, compass, brightness sensor, proximity detection, gyroscope | fingerprint (บนหน้าจอ), accelerometer, barometer, compass, brightness sensor, proximity detection, gyroscope | Iris scanner, fingerprint (ด้านหลัง), acceleromet330er, gyro, proximity, compass, barometer, heart rate, SpO2 | Iris scanner, fingerprint (ด้านหลัง), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer, heart rate, SpO2 |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0 | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0 | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0 | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0 |
แบตเตอรี่ | 4300 mAh รองรับชาร์จไว 45W | 3500 mAh รองรับชาร์จไว 25W | 4000 mAh รองรับชาร์จไว 15W | 3300 mAh รองรับชาร์จไว 15W |
มาตรฐานกันน้ำ | IP68 | IP68 | IP68 | IP68 |
จากนั้นก็มาดูที่ฟีเจอร์กัน ว่าแต่ละรุ่นมีฟีเจอร์อะไรที่เหมือนกัน ต่างกัน หรือมีอะไรใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาบ้าง
ดีไซน์ตัวเครื่อง และหน้าจอ
รูปร่างหน้าตาของ Galaxy Note ทั้ง 4 รุ่นนี้ สำหรับ Galaxy Note 8 และ Note 9 อาจจะดูไม่ต่างกันมากนัก ยิ่งถ้าตัวเครื่องสีเดียวกันแล้วดูเฉพาะด้านหน้าก็แทบจะแยกไม่ออกเลย (Note 9 จะมีขอบจอบน-ล่างที่บางกว่านิดหน่อย)
Note 8 (ซ้าย) Note 9 (ขวา)
แต่ถ้าพลิกกลับมาดูด้านหลังถึงจะเห็นความแตกต่างกันแบบชัดๆ ของทั้ง 2 รุ่นนี้ คือตำแหน่งเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมือที่ของ Note 8 จะอยู่ในระนาบเดียวกับกล้อง แต่ของ Note 9 จะถูกย้ายมาอยู่ด้านล่างกล้อง
Note 8 (ซ้าย) Note 9 (ขวา)
พอมาที่รุ่น Galaxy Note 10 คราวนี้ดีไซน์โดยรวมได้เปลี่ยนไปจากรุ่น Note 8 และ 9 อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องที่เหลี่ยมกว่าเดิม, ขอบจอบน-ล่างที่บางเฉียบสุดๆ แถมยังเจาะรูบนหน้าจอด้านบนตรงกลางสำหรับวางกล้องเซลฟี่อีกด้วย
Note 10 (ซ้าย) Note 10+ (ขวา)
ด้านหลังก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยเช่นกัน เพราะตอนนี้เปลี่ยนการจัดวางกล้องหลังใหม่เป็นแนวตั้ง และเปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ที่มุมซ้ายบนแทน นอกจากนี้จำนวนกล้องก็มีมากขึ้นเป็น 3 ตัว อีกด้วย ส่วนรุ่น Note 10+ ก็จะพิเศษกว่าเพราะมีกล้อง Depth Vision ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ 3 มิติ อยู่ทางด้านขวาถัดจากกล้องหลักทั้ง 3 ตัว
Note 10+ (ซ้าย) Note 10 (ขวา)
ส่วนหน้าจอของ Galaxy Note 10 / Note 10+ ยังได้รับการอัพเกรดจาก Note รุ่นก่อนที่เป็นแค่ Super AMOLED ด้วยการเปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED ความละเอียด FHD+ ในรุ่น Note 10 และ QHD+ ในรุ่น Note 10+ ที่มีความสว่างสูงถึง 1200 Nits แถมยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ ซึ่งให้สีสันที่สมจริงและคมชัดสุดๆ จนสังเกตุได้เลย
Note 10 (ซ้าย) Note 10+ (ขวา)
ปากกา S Pen
Galaxy Note 8 ที่เปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2017 ยังคงมีปากกา S Pen รุ่นเก่าที่ไม่ต้องใช้พลังงานแยก แต่ยังสามารถใช้งานหลักๆ ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Air View, รองรับแรงกดได้ 4,096 ระดับ, กันน้ำ IP68, Screen off Memo
Note 8
Galaxy Note 9 มีปากกา S Pen ที่ต้องใช้พลังงานในตัวปากกาเองเพราะมันจะเชื่อมต่อกับตัวมือถือผ่านบลูทูธ จึงต้องเสียบปากกาเข้าตัวมือถือเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งระบบเชื่อมต่อดังกล่าวทำให้ปากกา S Pen รุ่นนี้มีลูกเล่นใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกดชัตเตอร์กล้องระยะไกล, บังคับการเล่นเพลง หรือวิดีโอด้วย S Pen จากระยะไกล, กดเปลี่ยนสไลด์งาน Presentation ได้
Note 9
Galaxy Note 10 / 10+ มีปากกา S Pen รุ่นล่าสุดยังคงเชื่อมต่อกับตัวมือถือผ่านบลูทูธอยู่เหมือนเดิม และยังคงมีฟีเจอร์สั่งงานจากระยะไกลได้เหมือนกับ Note 9 แต่ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ก็คือ Air Action ซึ่ง S Pen คราวนี้มีเซ็นเซอร์ Gyroscope และ Accelerometer ในตัว ทำให้เราสามารถวาดปากกาไปบนอากาศเพื่อสั่งงานได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสะบัดปากกาเพื่อสลับกล้องหน้า-หลัง การวาดปากกาขึ้นลงเพื่อซูมกล้อง ฯลฯ
Note 10
กล้องหลัง
Galaxy Note 8 เป็นมือถือซีรีส์ Note รุ่นแรกที่มีกล้องหลัง 2 ตัว ประกอบด้วยเลนส์หลักความละเอียด 12MP และเลนส์ซูม 2X ความละเอียด 12MP
Note 8
Galaxy Note 9 ก็ยังคงใช้กล้องจำนวน 2 ตัวเท่าเดิม แต่ได้เพิ่มเทคโนโลยี Dual Aperture เข้ามาในเลนส์หลักความละเอียด 12MP ทำให้รูรับแสงสามารถเปลี่ยนขนาดได้ระหว่าง f/1.5 และ f/2.4 ขึ้นอยู่กับสภาพแสงในขณะนั้น ส่วนเลนส์ซูมความละเอียด 12MP ยังคงมีระยะอยู่ที่ 2 เท่าเหมือนเดิม และยังได้ใส่ระบบ AI สำหรับช่วยประเมินผลการถ่ายภาพ รวมถึงระบบจำแนก Scene ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมแบบ Real Time ด้วย
Note 9
Galaxy Note 10 / Note 10+ เปลี่ยนมาใช้กล้องหลัง 3 ตัว ด้วยการเพิ่มเลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 16MP เข้ามา ส่วนรุ่นท็อป Note 10+ จะพิเศษกว่าด้วยกล้อง 3 มิติ Depth Vision สำหรับจับความลึก ทำให้การถ่ายภาพแบบ Portrait หรือหน้าชัดหลังเบลอออกมาเนียนและเป็นธรรมชาติมากกว่า
ส่วนโหมดการถ่ายภาพและวิดีโอก็มีเพิ่มขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Live Focus Video, Super Steady Video, Audio Zoom และระบบจำแนก Scene ที่เพิ่มขึ้นเป็น 30 แบบ (Note 9 แยก Scene ได้ 20 แบบ)
Note 10
Note 10+
กล้องหน้า
กล้องหน้าของ Galaxy Note 8 และ Note 9 มีความละเอียดเท่ากันที่ 8MP มีรูรับแสงอยู่ที่ f/1.7 แต่สำหรับ Galaxy Note 10 / Note 10+ จะได้รับการอัพเกรดให้มีความละเอียดมากขึ้นเป็น 10MP มีค่ารูรับแสงที่แคบลงเป็น f/2.2 เพื่อลดขนาดกล้องหน้าให้เล็ก แต่จะถูกชดเชยด้วยการเพิ่มโหมด Night Shot เข้ามาสำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย นอกจากนี้ Note 10 / Note 10+ ยังมีระบบตัดเสียงรอบข้างเมื่อถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าอีกด้วย
หน่วยความจำ
Galaxy Note 8 และ Note 9 มีหน่วยความจำแบบ UFS 2.1 แต่สำหรับ Galaxy Note 10 / Note 10+ จะอัพเกรดขึ้นมาเป็นแบบ UFS 3.0 ซึ่งมีความเร็วในการเขียน – อ่านข้อมูลได้เร็วกว่าเป็นเท่าตัว
ส่วน Galaxy Note 10 จะเป็นรุ่นเดียวที่ไม่รองรับการใช้งาน MicroSD Card
Note 10 ไม่มีช่อง MicroSD Card (ซ้าย) Note 10+ มีช่อง MicroSD Card แบบ Hybrid (ขวา)
ระบบเสียง
Galaxy Note 8 ยังคงมีลำโพงอยู่ตรงด้านล่างเครื่องแค่ตัวเดียวเท่านั้น, มีรูหูฟัง 3.5 มม. และมีระบบเสียงแบบ Dolby Atmos
Galaxy Note 9 ได้รับการอัพเกรดให้มีลำโพงคู่สเตอรีโอ, มีระบบเสียง Dolby Atmos และยังคงมีรูหูฟัง 3.5 มม. อยู่
Galaxy Note 10 / Note 10+ ก็ยังคงมีลำโพงคู่แบบสเตอรีโออยู่ในตำแหน่งเดิมคือทางด้านล่างเครื่องและเหนือหน้าจอขึ้นไป แต่เสียงจะดังขึ้นและแน่นขึ้น, ระบบเสียง Dolby Atmos ยังคงมีอยู่ แต่โดนตัดรูหูฟัง 3.5 มม. ทิ้งไปแล้ว
DeX
Galaxy Note 10 / Note 10+ ยังคงมีฟีเจอร์ DeX ที่จะเปลี่ยนให้มือถือของเรากลายเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะได้ เพียงแค่เสียบสายจาก USB-C เข้ากับมอนิเตอร์ หรือ TV แต่สำหรับ Note 10 ทั้งคู่ ได้เพิ่มความสามารถในการเสียบสายเพื่อเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ Windows 10 เพื่อแสดงผล DeX บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ขึ้นมาเป็นอีก 1 จอ ได้เลย ซึ่งเราสามารถใช้งาน DeX ไปพร้อมๆ กับ Windows 10 ได้ในหน้าจอเดียวกัน และยังสามารถลากไฟล์ไปมาระหว่าง DeX กับ Windows 10 ได้ง่ายๆ อีกด้วย
แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ
Galaxy Note 8 มีแบตเตอรี่ขนาด 3300 mAh พร้อมระบบชาร์จไว 15W และระบบชาร์จไร้สาย 10W
Galaxy Note 9 มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 4000 mAh พร้อมระบบชาร์จไว 15W และระบบชาร์จไร้สายที่ระดับ 10W
Galaxy Note 10 มีแบตเตอรี่ขนาด 3500 mAh และได้รับการอัพเกรดระบบชาร์จไวขึ้นมาเป็น 25W ส่วนระบบชาร์จไร้สายรองรับได้สูงสุดถึง 12W นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบ PowerShare ชาร์จไฟกลับให้อุปกรณ์อื่นได้ด้วย
Galaxy Note 10+ มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สุดในซีรีส์คือ 4300 mAh รองรับระบบชาร์จไวสูงสุดถึง 45W (ต้องซื้อที่ชาร์จแยก) ส่วนระบบชาร์จไร้สายรองรับได้สูงสุดถึง 15W และมีระบบ PowerShare ชาร์จไฟกลับให้อุปกรณ์อื่นได้เช่นกัน
และทั้งหมดนั่นก็คือสเปคและฟีเจอร์ต่างๆ ของมือถือซีรีส์ Galaxy Note ตั้งแต่รุ่น Note 8 ไล่มาจนถึงรุ่น Note 10 นะครับ ใครที่ได้เห็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาแล้วคิดว่ามันว้าวกว่ารุ่นที่เราใช้อยู่ ก็เตรียมตัวเสียเงินกันได้เลย ส่วนใครที่ยังคิดว่าฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาทั้งหมดของ Note 10 ยังไม่ค่อยว้าวกว่าเดิมซักเท่าไหร่ (โดยเฉพาะเจ้าของ Note 9) ก็อาจจะหยอดกระปุกรอเอาไว้เตรียมสอยรุ่นถัดไปก็ได้ครับ
แหล่มครับ 🙂 🙂
Note9 ใช้ปากกา note10 ได้ไหมครับ
อยากได้ขนาดจริงๆของตัวเครื่องด้วย แต่ละรุ่นว่าเทียบแล้ว กว้าง ยาว หนา กี่มิลลิเมตร