Samsung เปิดตัวมือถือเรือธงปากกาเทพซีรีส์ Galaxy Note 20 ไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แน่นอนว่ามันมากับสเปค และฟีเจอร์เด็ดๆ ที่ได้รับการอัปเกรดขึ้นจากรุ่นที่ผ่านมาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าจอ, ฟีเจอร์ปากกา S Pen ใหม่ๆ, ประสิทธิภาพ S Pen, ฟีเจอร์ DeX ไร้สาย ฯลฯ และถ้าหากเอาไปเปรียบเทียบกับ Galaxy Note รุ่นก่อนๆ ทั้ง Note 10 และ Note 9 มันจะแตกต่างกันมากแค่ไหน คนที่ใช้รุ่นเดิมอยู่แล้วควรจะอัปเกรดรึเปล่า? ส่วนคนที่กำลังจะซื้อมือถือซีรีส์ Galaxy Note บ้าง ควรจะซื้อรุ่นใหม่เลย หรือจะซื้อรุ่นก่อนนี้ดี?

สำหรับการเทียบสเปคของมือถือซีรีส์ Galaxy Note 9, Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 20 จะขอแบ่งออกเป็นรุ่นปกติ และรุ่นท็อปของซีรีส์ นะครับ…ว่าแล้วก็มาเริ่มกันที่รุ่นปกติ Galaxy Note 9, Note 10, Note 20 กันก่อนนะครับ

สเปค Galaxy Note 20 / Galaxy Note 10 / Galaxy Note 9

สเปคGalaxy Note 20Galaxy Note 10 Galaxy Note 9
หน้าจอSuper AMOLED ขนาด 6.7 นิ้วDynamic AMOLED ขนาด 6.3 นิ้วSuper AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว
กระจกหน้าจอGorilla Glass 5Gorilla Glass 6Gorilla Glass 5
ความละเอียดFHD+FHD+QHD+
รีเฟรชเรท60Hz60Hz60Hz
มาตรฐานการแสดงผลHDR10+HDR10+HDR10
CPUExynos 990Exynos 9825Exynos 9810
GPUMali-G77 MP11Mali-G76 MP12Mali-G72 MP18
RAM(LPDDR5) 8GB(LPDDR4x) 8GB(LPDDR4) 6GB / 8GB
ความจุ(UFS 3.0) 256GB(UFS 3.0) 256GB(UFS 2.1) 128GB / 512GB
microSD Cardไม่รองรับไม่รองรับรองรับ
กล้องหลัง
  • 12MP, f/1.8, 26mm (wide), 1/1.76″, 1.8µm, Dual Pixel PDAF, OIS
  • 64MP, f/2.0, 27mm (telephoto), 1/1.72″, 0.8µm, PDAF, OIS, 3x hybrid zoom
  • 12MP, f/2.2, 120˚, 13mm (ultrawide), 1/2.55″, 1.4µm
  • 12MP, f/1.5-2.4, 27mm (wide), 1/2.55″, 1.4µm, Dual Pixel PDAF, OIS
  • 12MP, f/2.1, 52mm (telephoto), 1/3.6″, 1.0µm, PDAF, OIS, 2x optical zoom
  • 16MP, f/2.2, 12mm (ultrawide), 1/3.1″, 1.0µm, Super Steady video
  • 12MP, f/1.5-2.4, 26mm (wide), 1/2.55″, 1.4µm, Dual pixel PDAF, OIS
  • 12MP, f/2.4, 52mm (telephoto), 1/3.4″, 1.0µm, AF, OIS, 2x optical zoom
กล้องหน้า10MP, f/2.2, 26mm (wide), 1/3.2″, 1.22µm, Dual Pixel PDAF10MP, f/2.2, 26mm (wide), 1/3″, 1.22µm, Dual Pixel PDAF8MP, f/1.7, 25mm (wide), 1/3.6″, 1.22µm, AF
Bluetooth5.05.05.0
WiFiWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-bandWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-bandWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band
5G5G Non-Standalone (NSA), Standalone (SA), Sub6 / mmWaveไม่รองรับ (ในไทยไม่ขายรุ่น 5G)ไม่รองรับ
เซ็นเซอร์Fingerprint (ใต้หน้าจอ, ultrasonic), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometerFingerprint (ใต้จอ, ultrasonic), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometerIris scanner, fingerprint (ด้านหลัง), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer, heart rate, SpO2
ระบบเสียงลำโพงสเตอริโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKGลำโพงสเตอริโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKGลำโพงสเตอริโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKG
รูหูฟัง 3.5 มม.ไม่มีไม่มีมี
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นIP68IP68IP68
แบตเตอรี่4300 mAh3500 mAh4000 mAh
ระบบชาร์จชาร์จไว 25Wชาร์จไว 25W15W
ระบบปฏิบัติการAndroid 10 ครอบด้วย One UIAndroid 10 ครอบด้วย One UIAndroid 10 ครอบด้วย One UI
ขนาด / น้ำหนัก161.6 x 75.2 x 8.3 มม. / 192 กรัม151 x 71.8 x 7.9 มม. / 168 กรัม161.9 x 76.4 x 8.8 มม. / 201 กรัม

ดีไซน์ตัวเครื่อง 

ตัวเครื่องของ Galaxy Note 9 และ Note 10 มีเฟรมเครื่องเป็นอะลูมิเนียมและมีฝาหลังเป็นกระจก Gorilla Glass 5 / 6 ส่วนรุ่น Galaxy Note 20 ใช้เฟรมเครื่องเป็นโลหะเหมือนกัน แต่ฝาหลังใช้วัสดุแบบ Reinforced Polycarbonate แทน ซึ่งวัสดุดังกล่าวมีความทนทานน้อยกว่า Gorilla Glass ที่ใช้กับ Note 9 และ Note 10

Galaxy Note 9 / Note 10 / Note 20

เมื่อหันมามองดีไซน์โดยรวมของทั้ง 3 รุ่น ก็จะเห็นความแตกต่างของแต่ละรุ่นอย่างชัดเจนขึ้นแล้ว เริ่มจากหน้าจอของทั้ง Note 9 และ 10 เป็นจอที่มีขอบโค้ง 2 ข้าง แต่ Note 20 จะใช้จอแบนราบแบบ Infinity-O เจาะรูไว้ตรงกลางด้านบนสำหรับวางกล้องเซลฟี่ ขอบจอด้านบน-ล่างก็เลยบางลงไปได้อีกเยอะ

Galaxy Note 20

ในขณะที่ Note 9 ยังคงใช้หน้าจอแบบปกติ ก็เลยต้องเว้นขอบเอาไว้สำหรับวางกล้องเซลฟี่ และเซ็นเซอร์ต่างๆ

Galaxy Note 9

ส่วน Note 20 จะใช้จอเจาะรูวางกล้องเซลฟี่เหมือนกัน แต่จะต่างจากอีกทั้ง 2 รุ่น ตรงที่หน้าจอขอบไม่โค้งแล้ว เป็นหน้าจอแบบแบนราบธรรมดา ซึ่งน่าจะถูกใจหลายๆ คนที่ไม่ชอบมือถือจอโค้ง เพราะมันสามารถขีดเขียนด้วย S Pen ได้แบบไม่ตกขอบ แถมยังทัชไม่ลั่นเวลาอุ้งมือไปโดนขอบจออีกด้วย

Galaxy Note 20

พลิกมาดูด้านหลังเครื่องจะยิ่งเห็นความแตกต่างของทั้ง 3 รุ่นอย่างชัดเจน โดย Note 9 มีกล้องหลัง 2 ตัวเรียงเป็นแนวนอนและมีเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมืออยู่ด้านล่าง, Note 10 เปลี่ยนการวางกล้องเป็นแนวตั้ง อยู่ที่มุมซ้ายบนของเครื่อง และ Note 20 มีกล้อง 3 ตัว + แฟลช วางอยู่บนโมดูลสี่เหลี่ยมที่นูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย

Galaxy Note 20

หน้าจอ

หน้าจอของทั้ง 3 รุ่นนี้ มีข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกันไป โดยรุ่นเก๋าสุดอย่าง Note 9 จะได้เปรียบกว่าตรงความละเอียดสูงกว่าใครที่ QHD+ แต่จะรองรับการแสดงผลสีอยู่ที่ HDR10

Galaxy Note 9

ในขณะที่ Note 10 / 20 ให้ความละเอียดมาแค่ FHD+ แต่ก็รองรับการแสดงผลสูงกว่าที่ HDR10+ นอกจากนี้ Galaxy Note 10 ยังได้สเปคพาเนลหน้าจอที่สูงกว่าเป็น Dynamic AMOLED ส่วนรุ่นอื่นๆ ยังเป็น Super AMOLED อยู่

Galaxy Note 10

สำหรับขนาดหน้าจอของทั้ง 3 แตกต่างกันอยู่นิดหน่อย Note 9 มีจอขนาด 6.4 นิ้ว, Note 10 อยู่ที่ 6.3 นิ้ว และ Note 20 อยู่ที่ 6.7 นิ้ว โดยกระจกครอบจอของ Note 10 Gorilla Glass 6 ส่วน Note 9 และ Note 20 ใช้ Gorilla Glass 5 ซึ่งเอาจริงๆ แล้วอาจไม่ค่อยเห็นความแตกต่างเท่าไหร่นัก เพราะส่วนมากจะติดฟิล์ม หรือกระจกกันรอย เผื่อเหนียวเอาไว้อยู่แล้วนั่นเอง

ปากกา S PEN

ปากกา S Pen ของทั้ง 3 รุ่น แน่นอนว่าต้องมีความแตกต่างกันในด้านของประสิทธิภาพ และฟีเจอร์ต่างๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาตามยุคตามสมัยอยู่แล้ว โดย S Pen ของทั้ง 3 รุ่น ล้วนแล้วต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ซึ่งต้องชาร์จจากตัวมือถือ และยังต้องเชื่อมต่อกันผ่านบลูทูธเพื่อใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นบังคับการเล่นเพลง / วิดีโอ, เปลี่ยนสไลด์ Presentation, กดชัตเตอร์กล้องระยะไกล ฯลฯ

แต่ S Pen ของ Galaxy Note 10 และ Note 20 ได้รับการอัปเกรดเพิ่มขึ้นมาอีกด้วยเซ็นเซอร์ Gyroscope และ Accelerometer ทำให้เราสามารถวาดปากกาไปบนอากาศเพื่อสั่งงานได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสะบัดปากกาเพื่อสลับกล้องหน้า-หลัง การวาดปากกาขึ้นลงเพื่อซูมกล้อง ฯลฯ

และสำหรับรุ่นใหม่อย่าง Note 20 ก็ถูกอัดฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาให้อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นค่าความหน่วงที่ลดลงเหลือแค่ 26ms ทำให้ลายเส้นที่ลากบนหน้าจอแทบจะติดๆ กับปลายปากกาเหมือนเขียนด้วยปากกาจริง มีฟีเจอร์แปลงลายมือให้กลายเป็นตัวอักษรได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้หากเราจดเบี้ยวๆ เอียงๆ ก็สามารถปรับให้ตรงเป็นระเบียบได้ด้วย, AUDIO BOOKMARK อัดเสียง พร้อมจดโน้ต, แปลงไฟล์จาก S Note เป็น PowerPoint, คำสั่ง Air Action แบบใหม่ๆ ฯลฯ

Play video

กล้องหน้า / หลัง

กล้องหน้าของ Galaxy Note 10 และ 20 มีสเปคโดยรวมที่แทบจะยกมาทั้งชุดเลย ไม่ว่า่จะเป็นความละเอียดเท่ากัน 10MP, ขนาดเซ็นเซอร์, ขนาดพิกเซล, ระบบ Dual Pixel PDAF ก็มีเหมือนกันหมด ส่วน Note 9 จะด้อยกว่าด้วยเซ็นเซอร์ความละเอียด 8MP และไม่มีระบบ Dual Pixel PDAF มาให้

ถัดมาที่กล้องหลังก็จะเริ่มเห็นความเสียเปรียบของรุ่นที่เก่ากว่าแล้ว เพราะ Note 9 ยังคงมีกล้องหลังแค่ 2 ตัว เป็นเลนส์ Wide ความละเอียด 12MP และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12MP ที่มากับระยะซูม Optical 2x และสูงสุด Digital 10x (Focal Length 52 มม.)

Galaxy Note 9

กล้องหลังของ Note 10 แทบจะยกของ Note 9 มาทั้งชุด แต่เพิ่มกล้อง Ultrawide เข้ามาให้อีกตัวนึง รวมเป็นทั้งหมด 3 ตัว คือ กล้อง Wide 12MP + กล้อง Telephoto 12MP ซูม Optical 2x ซูม Digital สูงสุด 10x + กล้อง ultrawide 16MP 

Galaxy Note 10

สุดท้ายกับ Note 20 ที่มากับกล้อง 3 ตัวเหมือนกัน ประกอบด้วยกล้อง Wide 12MP + กล้อง Telephoto 64MP ซูมไฮบริด 3x + กล้อง Ultrawide 12MP โดยกล้อง Telephoto ของ Note 20 จะให้ความละเอียดมาสูงถึง 64MP ทำให้ระบบซูมแบบไฮบริดไปได้มากกว่าที่ 3x เนื่องจากมันใช้การถ่ายภาพแบบเต็มความละเอียดแล้วค่อยใช้ซอฟต์แวร์ช่วย Crop ภาพซูมเข้าไปจนได้ภาพที่ออกมาชัด และเนียนกว่า ส่วนการซูมแบบดิจิตอลสามารถออกไปได้สุดที่ 30x เลยทีเดียว

ยังไม่หมด เพราะ Note 20 ได้รับฟีเจอร์ใหม่ๆ เทพๆ เข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็นโหมด Pro Video ที่ตั้งค่าได้อิสระมากขึ้น แถมยังใช้ไมโครโฟนเสริมได้, Zoom Speed Control โหมดซูมเข้าออกแบบเนียนๆ ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในมือถือ Galaxy รุ่นอื่นๆ ด้วย

Galaxy Note 20

สเปค

สเปคโดยรวมของทั้ง 3 รุ่น นับว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์ของปีที่เปิดตัวอยู่แล้ว ก็แน่นอนว่ารุ่นใหม่สุดจะต้องมีสเปคแรงสุดนั่นแหละ โดย Galaxy Note 9 ที่เปิดตัวมาก่อนใครยังคงใช้ RAM แบบ LPDDR4 อยู่ ในขณะที่ Note 10 ใช้ RAM แบบ LPDDR4X ที่แรงกว่า และ Note 20 ก็เป็นแบบ LPDDR5 ที่แรงขึ้นมาอีกขั้น

ส่วนความจุของ Note 10 และ Note 20 เป็นแบบ UFS 3.0 ซึ่งมีความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูลมากกว่าความจุแบบ UFS 2.1 ที่ใช้ใน Note 9 อยู่หลายเท่าตัวเลยทีเดียว แต่ถึงยังไง Note 9 ก็เป็นแค่หนึ่งในสามรุ่นนี้ที่รองรับการใช้งาน microSD Card ด้วยนะ

ระบบเสียง

ทั้ง 3 รุ่นนี้มีระบบเสียงที่เรียกว่าเหมือนกันทั้งลำโพงสเตอริโอคู่, ระบบเสียง Dolby Atmos และได้รับการปรับแต่งเสียงโดย AKG เช่นกัน แต่ที่พิเศษกว่าคือรุ่น Note 9 ที่ยังมีรูหูฟัง 3.5 มม. อยู่รุ่นเดียวเท่านั้น

Galaxy Note 9 ที่ยังคงมีรูหูฟัง 3.5 มม. อยู่

DeX

Galaxy Note ทั้ง 3 รุ่น รองรับการใช้งาน DeX ผ่านการเสียบสาย USB-C > HDMI หรือ USB-C > USB-C แต่รุ่น Note 20 และ Note 20 Ultra จะพิเศษกว่าใครเพราะมันไม่จำเป็นต้องเสียบสายอะไรเลย เนื่องจากมันมากับฟีเจอร์ Wireless DeX เชื่อมต่อกับ TV หรือมอนิเตอร์ (ที่รองรับระบบไร้สาย) เพื่อใช้งานได้ทันที ไม่ต้องวุ่นวายหาสาย หา Hub มาเสียบ

Wireless DeX ของ Galaxy Note 20 และ Note 20 Ultra

แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ

Galaxy Note 9 ให้แบตเตอรี่มา 4000 mAh และรองรับการชาร์จไว 15W, Note 10 ให้แบตเตอรี่มาน้อยสุดอยู่ที่ 3500 mAh แต่มีระบบชาร์จไวกว่าที่ 25W ส่วน Note 20 แบตเตอรี่เยอะที่สุด 4300 mAh และมากับระบบชาร์จไว 25W ด้วย

มาต่อกันที่มือถือรุ่นท็อปของซีรีส์อย่าง Galaxy Note 20 Ultra และ Galaxy Note 10+ กันต่อเลยว่ารุ่นพี่ทั้งคู่มีอะไรแตกต่างกันบ้าง

สเปค Galaxy Note 20 Ultra / Galaxy Note 10+

สเปคGalaxy Note 20 UltraGalaxy Note 10+
หน้าจอDynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9 นิ้วDynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว
กระจกหน้าจอGorilla Glass VictusGorilla Glass 6
ความละเอียดWQHD+WQHD+
รีเฟรชเรท120Hz60Hz
มาตรฐานการแสดงผลHDR10+HDR10+
CPUExynos 990Exynos 9825
GPUMali G77 MP11Mali-G76 MP12
RAM(LPDDR5) 8GB / 12GB(LPDDR4x) 12GB
ความจุ(UFS 3.0) 128GB / 256GB / 512GB(UFS 3.0) 256GB
microSD Cardรองรับรองรับ
กล้องหลัง
  • 108MP, f/1.8, 26mm (wide), 1/1.33″, 0.8µm, PDAF, Laser AF, OIS
  • 12MP, f/3.0, 120mm (periscope telephoto), 1.0µm, PDAF, OIS, 5x optical zoom, 50x hybrid zoom
  • 12MP, f/2.2, 120˚, 13mm (ultrawide), 1/2.55″, 1.4µm
  • 12MP, f/1.5-2.4, 27mm (wide), 1/2.55″, 1.4µm, Dual Pixel PDAF, OIS
  • 12MP, f/2.1, 52mm (telephoto), 1/3.6″, 1.0µm, PDAF, OIS, 2x optical zoom
  • 16MP, f/2.2, 12mm (ultrawide), 1/3.1″, 1.0µm, Super Steady video
  • 0.3MP, TOF 3D, (depth)
กล้องหน้า10MP, f/2.2, 26mm (wide), 1/3.2″, 1.22µm, Dual Pixel PDAF10MP, f/2.2, 26mm (wide), 1/3″, 1.22µm, Dual Pixel PDAF
Bluetooth5.05.0
WiFiWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-bandWi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band
5G5G Non-Standalone (NSA), Standalone (SA), Sub6 / mmWaveไม่รองรับ (ในไทยไม่ขายรุ่น 5G)
เซ็นเซอร์Fingerprint (ใต้หน้าจอ แบบ Ultrasonic), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometerFingerprint (ใต้จอ, ultrasonic), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
ระบบเสียงลำโพงสเตอริโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKGลำโพงสเตอริโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKG
รูหูฟัง 3.5 มม.ไม่มีไม่มี
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นIP68IP68
แบตเตอรี่4500 mAh4300 mAh
ระบบชาร์จชาร์จไว 25Wชาร์จไว 45W
ระบบปฏิบัติการAndroid 10 ครอบด้วย One UIAndroid 10 ครอบด้วย One UI
ขนาด / น้ำหนัก164.8 x 77.2 x 8.1 มม. / 208 กรัม162.3 x 77.2 x 7.9 มม. / 196 กรัม

ดีไซน์ตัวเครื่อง

ทั้ง Galaxy Note 20 Ultra และ Note 10+ ต่างก็เป็นมือถือระดับไฮเอนด์ตัวท็อปที่ใช้วัสดุระดับสูงทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นเฟรมเครื่องโลหะ กระจกหน้าจอ และกระจกหลังเครื่องที่เป็น Gorilla Glass โดย Note 10+ ใช้ Gorilla Glass 6 ทั้งด้านหน้าจอ และด้านหลังเครื่อง ส่วน Note 20 Ultra จะเหนือกว่าด้วยกระจกรุ่นใหม่ Gorilla Glass Victus ที่มีความแข็งแกร่งกว่า Gorilla Glass 6 หลายเท่าเลยทีเดียว

ตัวเครื่องด้านหน้า ทั้งคู่ยังคงใช้หน้าจอแบบ Infinity-O เจาะรูตรงกลางด้านบนสำหรับวางกล้องเซลฟี่ และมีขอบจอโค้งทั้ง 2 ด้านเหมือนกัน แต่ขอบจอด้านบน-ล่าง ของ Note 20 Ultra จะบางกว่านิดนึง และรูกล้องก็เล็กกว่าด้วย

Galaxy Note 10+ / Note 20 Ultra

ตัวเครื่องด้านหลังก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะ Note 20 Ultra มีกล้อง 3 ตัว + เซ็นเซอร์ Laser AF + แฟลช วางอยู่บนโมดูลที่นูนออกมาจากตัวเครื่องพอสมควร ส่วน Note 10+ มีกล้อง 3 ตัว เรียงเป็นแนวตั้งอยู่มุมซ้ายบน พร้อมเซ็นเซอร์ ToF ซึ่งไม่ได้นูนออกมาจากตัวเครื่องมากเหมือนกับ Note 20 Ultra

Galaxy Note 20 Ultra

Galaxy Note 10+

หน้าจอ

หน้าจอของทั้งคู่มีขนาดใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน โดย Note 20 Ultra อยู่ที่ 6.9 นิ้ว เป็นหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ส่วน Note 10+ อยู่ที่ 6.8 นิ้ว ใช้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED มีความละเอียดระดับเดียวกันที่ WQHD+ และรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ เหมือนกันด้วย

แต่ Note 20 Ultra จะได้เปรียบสุดๆ ตรงหน้าจอที่มีรีเฟรชเรทสูงถึง 120Hz และเป็นหน้าจอแบบ VRR ที่สามารถปรับค่ารีเฟรชเรทอัตโนมัติตามการใช้งาน ทำให้กินแบตเตอรี่น้อยลงกว่าเดิมด้วย

ปากกา S PEN

ฟีเจอร์ต่างๆ ของปากกา S Pen ทั้งคู่ จะเหมือนกับของเหล่ารุ่นน้องที่บอกไปแล้วด้านบน แต่สำหรับ Note 20 Ultra จะพิเศษกว่าใครด้วยความหน่วงของ S Pen ที่น้อยมากๆ อยู่ที่ 9ms ทำให้ลายเส้นที่ขีดบนหน้าจอตามติดกับปลายปากกาแบบเป๊ะๆ เหมือนเขียนจากปากกาจริงๆ บนกระดาษจริงๆ

กล้องหลัง

กล้องเซลฟี่ของทั้งคู่ก็ยังคงใช้สเปคเดียวกันกับรุ่นน้องของซีรีส์ตัวเองอีกเช่นกัน แต่ที่ต่างกันสุดๆ ก็คือกล้องหลังนั่นเอง โดย Note 10+ มีกล้องทั้งหมด 3 ตัว คือ กล้อง Wide 12MP + กล้อง Telephoto 12MP ซูม Optical 2x ซูม Digital สูงสุด 10x + กล้อง ultrawide 16MP และมีเซ็นเซอร์ 3 มิติ ToF เพิ่มเข้ามาทำให้มันถ่ายภาพ Portrait หรือหน้าชัดหลังเบลอได้เนียนกว่า

แต่สำหรับ Note 20 Ultra กลับโดนตัดเซ็นเซอร์ ToF ออกไป แล้วแทนที่ด้วยเซ็นเซอร์ Laser AF ช่วยให้การโฟกัสภาพมีความแม่นยำ และว่องไวมากกว่าเดิม ส่วนกล้องหลังทั้ง 3 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 108MP (f/1.8) + กล้อง Ultrawide ความละเอียด 12MP (f/2.2) + กล้อง Telephoto เลนส์ Periscope ความละเอียด 12MP (f/3.0) ซูม Optical 5x / Digital สูงสุด 50x

สเปค

Galaxy Note 20 Ultra และ Note 10+ ต่างมากับความจุแบบ UFS 3.0 ที่มีความรวดเร็วในการเขียน-อ่านข้อมูลทั้งคู่ แถมยังรองรับ microSD Card ทั้งคู่อีกเหมือนกัน แต่ RAM ของ Note 20 Ultra จะแรงกว่าเพราะเป็นแบบ LPDDR5 ในขณะที่ Note 10+ เป็นแบบ LPDDR4x

ระบบเสียง

ทั้ง 2 รุ่นนี้มีระบบเสียงที่เรียกว่าเหมือนกันทั้งลำโพงสเตอริโอคู่, ระบบเสียง Dolby Atmos และได้รับการปรับแต่งเสียงโดย AKG เช่นกัน แต่ที่น่าเสียดายคือทั้งคู่ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. ให้อีกแล้ว

DeX

Galaxy Note ทั้ง 2 รุ่น รองรับการใช้งาน DeX ผ่านการเสียบสาย USB-C > HDMI หรือ USB-C > USB-C แต่ Note 20 Ultra จะพิเศษกว่าใครเพราะมันไม่จำเป็นต้องเสียบสายอะไรเลย เนื่องจากมันมากับฟีเจอร์ Wireless DeX เชื่อมต่อกับ TV หรือมอนิเตอร์ (ที่รองรับระบบไร้สาย) เพื่อใช้งานได้ทันที ไม่ต้องวุ่นวายหาสาย หา Hub มาเสียบ

แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ

Galaxy Note 20 Ultra ให้แบตเตอรี่มาที่ 4500 mAh รองรับชาร์จไว 25W ส่วน Note 10+ ให้แบตเตอรี่มาน้อยกว่านิดหน่อยที่ 4300 mAh แต่ตัวเครื่องรองรับการชาร์จไวสูงสุดถึง 45W (ที่ชาร์จในกล่องให้มาแค่ 25W)

และทั้งหมดนั่นก็คือสเปคและฟีเจอร์ต่างๆ ของมือถือซีรีส์ Galaxy Note 9 ไล่มาจนถึงซีรีส์ Note 20 นะครับ ใครที่ได้เห็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาแล้วคิดว่ามันว้าวกว่ารุ่นที่เราใช้อยู่ ก็เตรียมตัวเสียเงินกันได้เลย ส่วนใครที่ยังคิดว่าฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาทั้งหมดของ Note 20 และ Note 20 Ultra ยังไม่ค่อยว้าวกว่าเดิมซักเท่าไหร่ (โดยเฉพาะเจ้าของ Note 10) ก็อาจจะหยอดกระปุกรอเอาไว้เตรียมสอยรุ่น Note 21 เลยก็ได้นะ (หรือไม่แน่ว่าอาจจะเป็น Galaxy S21 ก็ได้ เพราะมีข่าวลือว่าซีรีส์ Note กับ S จะมารวมกันในปีหน้า)