จาก 2011 ปีแรกที่ Samsung ได้ปล่อย Galaxy Note ออกมา ทำเอาหลายคนฮือฮากับหน้าจอขนาดใหญ่ และความสามารถของ S Pen ในการ จด วาด เขียน ทุกสิ่งบนหน้าจอ และพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึง Galaxy Note 20 ที่จุดแข็งของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ถูกทำให้เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการวาดภาพ จดโน๊ต เก็บไอเดีย และการนำไปใช้ทำงานหรือเรียนได้แบบรอบด้านจริงจัง นั่นคือสิ่งที่แฟนๆ ของ Note หากได้เข้ามาสัมผัสแล้วติดกันงอมแงม

Play video

ดีไซน์ Galaxy Note 20 และ Note 20 Ultra

หน้าตาของทั้ง 2 รุ่นรอบนี้มีความแตกต่างกันพอสมควรเลยทีเดียว ตั้งแต่ขนาดของตัวเครื่องที่คนละไซส์ ไล่ไปตั้งแต่หน้าจอ 6.7 นิ้ว และ 6.9 นิ้ว ทำให้มิติของทั้งคู่นั้นต่างกัน

โดยจอของ Galaxy Note 20 นั้นจะเป็นจอแบน Flat Screen ที่หลายๆ คนโดนใจกับตอน S20 นั่นเอง ซึ่งแฟนๆ ของ Note เองก็น่าจะชอบด้วย เพราะจอที่ไม่โค้งทำให้การจดและเขียนสิ่งต่างๆ บนหน้าจอบริเวณขอบๆ นั้นสะดวกขึ้น

ส่วน Galaxy Note 20 Ultra นั้นหน้าจอยังมีความโค้งอยู่บ้าง แต่ไม่ลึกเหมือน Dual Edge แล้ว ความละเอียด WQHD+ มีอัตรารีเฟรชเรต 120Hz แถมยังใช้กระจกนิรภัย Gorilla Glass 7 เป็นรุ่นแรกของโลกอีกด้วย

ความบางของทั้งคู่นั้นพอๆ กัน เรียกว่าอยู่ในระดับที่กำลังจับได้ถนัดมือทั้ง 2 รุ่น ส่วนฝาหลังของ Note 20 นั้นจะโค้งมากกว่า Note 20 Ultra อยู่นิดหน่อย

และหากสังเกตุดีๆ ก็จะเห็นว่ากระจกหลังเครื่องอย่างสี Mystic Green และ Mystic Bronze นั้นเปลี่ยนมาใช้เป็นสไตล์กระจกฝ้า ที่ลดรอยนิ้วมือเวลาหยิบจับ แต่จะมีสี Mystic Black ของ Note 20 Ultra ที่ทำมาสะท้อนเหมือนเป็นกระจกไปเลย

ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของ Note 20 ซึ่งต่างจาก Note ทุกรุ่นก่อนหน้านี้คือ… ช่องเก็บ S Pen ที่ถูกย้ายเอามาไว้ด้านซ้าของตัวเครื่องแทน เนื่องจากด้านขวานั้นพื้นที่ไม่พอ ด้วยความที่โมดูลกล้องมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ทาง Samsung ต้องตัดสินใจย้ายช่องมาไว้ด้านนี้ ซึ่งแฟนๆ ของ Note น่าจะมีบ่นกันหลายคนแน่นอน เพราะต้องมีการปรับตัวกันพอสมควร ข้างๆ กันคือลำโพง พอร์ต USB C และไมโครโฟน

ถาดซิมของทั้ง 2 รุ่นจะอยู่บริเวณด้านบนของตัวเครื่อง ทั้งคู่รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม โดยจะเป็นถาดแบบ Nano Sim คู่ และยังรองรับ e-SIM ด้วย ส่วนการเพิ่มหน่วยความจำด้วย micro SD นั้นมีช่องให้เสียบแค่ในรุ่น Note 20 Ultra เท่านั้น รูเล็กๆ ที่เห็นคือไมคืตัวที่ 2 นะครับ โดยรุ่นนี้ Samsunเ ใส่ไมค์มาให้ทั้งหมด 3 ตัว อีกตัวนึงจะอยู่ที่กล้องหลัง

 

Galaxy Note 20 กับฟีเจอร์ S Pen สุดเฉียบ

ปากกา S Pen จุดเด่นของ Note Series ถูกพัฒนาให้ตอบสนองได้ดีขึ้นอีกขั้น ด้วยอัตรา Latency หรือความหน่วงที่ลดลงจาก 42ms ใน Note 10 เหลือเพียง 26ms ใน Note 20 และ 9ms ใน Note 20 Ultra

เรียกว่าหากเอามาลากให้ดูพร้อมๆ กันจะเห็นได้ชัดเลยว่าเส้นของ Note 20 Ultra นั้นวิ่งตามหัวปากกาติดๆ เลยทีเดียว

ส่วนฟังก์ชั่นการใช้งาน Samsung Note ก็ถูกเพิ่มเติมให้เหมาะกับรูปแบบการใช้งาน อย่างแรกคือ Easy Type n Write จะพิมพ์หรือจะเขียนก็สามารถทำควบคู่กันไปได้ แค่กดสลับโหมดด้านล่าง สลับไปสลับมาได้สบายๆ

แถมยังสามารถ เปิดไฟล์ PDF แล้วจัดการขีดเขียนลงไปได้ แล้วทำการเซฟเป็น PDF ส่งกลับไปได้ มีเครื่องมือให้ Import/Export เรียบร้อย บอกลาการแคปจอแก้ไขทีหละหน้าไปเลย มีแปลงไฟล์ PPT หรือ Power Point ด้วยนะ

Audio Bookmark ทีเด็ดของการจดเลคเชอร์หรือบันทึกการประชุม เพราะเราสามารถบันทึกเสียงไป พร้อมกับจดโน้ตไปพร้อมๆ กันได้

แล้วเวลามาเปิดฟังย้อนหลัง เมื่อเสียงเล่นไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราจดไว้ก็จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ เริ่ดอะ

ส่วนใครที่บางทีต้องรีบบันทึกไอเดียแบบด่วน บางครั้งอาจจะเผลอจดเอียงจดเบี้ยว ก็มี AI Neat Note มาช่วยจัดระเบียบให้สวยงามได้ (เสียดาย ไม่ช่วยแก้ลายมือให้สวยๆ ด้วย ไม่งั้นแจ่มเลย)

และคราวนี้ใน Samsung Note เราสามารถสร้างโฟลเดอร์แยกเก็บเอกสารเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ได้แล้ว มี Folder มาให้เลือกแยกเก็บงานไม่ให้ปะปนกัน (ควรจะมีตั้งนานแล้วปะ) อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่คือ Note Live Sync ที่สามารถให้คนอื่นเข้ามาทำเอกสารไปพร้อมๆ กันได้แบบ realtime (คล้ายๆ Google Doc)

ลูกเล่นของปากกา S Pen ที่กวัดแกว่งไปมาเหมือนไม้กายสิทธิ์ของ Harry Potter ก็ยังมีอยู่ รอบนี้มีฟีเจอร์ Advance Air Action ที่เพิ่มท่าทางเข้ามาอีก 5 แบบ เอาไว้เรียกฟังก์ชั่นหรือแอปที่ใช้งานบ่อยๆ ได้ง่ายขึ้น เช่นแคปหน้าจอก็สะบัดมือรัวๆ อะไรแบบนั้น (ขออภัยที่แนบภาพจาก Tab S7 เอาไว้หารูปของ Note 20 เจอแล้วจะเอามาเปลี่ยนให้ แต่คำสั่งของทั้ง 2 รุ่นใช้เหมือนกันครับ)

Samsung Dex ที่เปลี่ยนมือถือ Galaxy ให้กลายเป็นคอมพ์ตั้งโต๊ะได้ รอบนี้สะดวกกว่าเดิมด้วย Wireless DeX ส่งสัญญาณขึ้นหน้าจอหรือทีวีผ่าน Miracast แถมยังมี Dual Mode สามารถใช้งานมือถือไป และใช้ DeX ไปพร้อมๆ กันได้ด้วย

Galaxy Note 20 กับงานกล้องของเด็ด

กล้องหน้าของทั้ง 2 รุ่นมีความละเอียดเท่ากันคือ 10 ล้านพิกเซลอยู่บนหน้าจอ Infinity-O ด้านบนกลางเครื่อง สามารถปรับระยะเซลฟรี่ได้ 2 ระดับ

สามารถใช้ในการถ่ายวิดีโอสลับไปมาระหว่างกล้องหน้าและหลังได้เหมือนเดิม มีโหมด Selfie แบบสโลโมชั่นให้ใช้งาน

ส่วนกล้องหลังนั้นคอนนี้มีโหมดการถ่ายวิดีโอ 8K ในอัตราส่วน 21:9 เพิ่มเข้ามาอีก

แต่ที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือโหมด Pro Video ที่จัดเต็มเรื่องฟีเจอร์แบบสุดๆ มีทั้งระบบ Adjustable Zoom Speed คือสามารถเลือกความเร็วในการซูมแบบเนียนๆ ได้แล้ว

ส่วนปัญหาในงานวิดีโอกับการใช้ไมค์นอก Galaxy Note 20 จบมากๆ เพราะสามารถใช้ไมโครโฟนของบลูทูธที่ต่อกับเครื่องในการบันทึกเสียงได้ด้วย ถ้ามี Galaxy Buds+ หรือ Galaxy Buds Live จับมาแพร์ซะ ใช้แทนไมค์ลอยได้เลย

นอกจากนั้นยังมีแถบความดังเสียงให้เรามอนิเตอร์ได้ และเลือกปรับระดับความดังหรือเบาในการบันทึกได้ด้วยแถบ dB ด้านล่าง

ชุดกล้องหลังของ Galaxy Note 20 และ Galaxy Note 20 Ultra มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของเซนเซอร์ ขนาดของโมดูลกล้อง และระยะการซูม

Galaxy Note 20 ประกอบไปด้วยกล้องหลัก 12MP กล้องอัลตร้าไวด์ 12MP และกล้องเทเลโฟโต้ 64MP มีระยะ Optical Zoom 3 เท่า และ Space Zoom สูงสุด 30 เท่า

ส่วนกล้องของ Galaxy Note 20 Ultra นั้นเซนเซอร์หลักความละเอียดอยู่ที่ 108 ล้านพิกเซล มีกล้องอัลตร้าไวด์ 12 ล้านพิกเซล และกล้องเลนซูม Periscope 12 ล้านพิกเซล โดยมีระยะซูม Optical 5 เท่า และ Space Zoom สุงสุด 50 เท่า ส่วนจุดแดงๆ ที่เห็นนั่นคือ Laser Focus ที่เขามาช่วยในการวัดระยะของวัตถุ และจับโฟกัสให้แม่นยำมากขึ้น ซึ่งระยะของภาพที่ได้ก็ตามนี้เลยครับ

สำหรับตัวอย่างภาพถ่ายของ Galaxy Note 20 และ Note 20 Ultra อันนี้ถ้าได้เครื่องจริงมาทดสอบเมื่อไหร่จะรีบเอามาลงให้ชมกันแน่นอน ส่วนสเปคของทั้ง 2 รุ่นและรายละเอียดทั้งหมดรออ่านได้ในสรุปงานเปิดตัว Galaxy Unpakced นะครับ จบงานแล้วจะมาแปะลิงค์ให้