Samsung เป็นค่ายที่พักหลังออกรุ่นย่อยลดสเปคหรือขนาดหน้าจอของสมาร์ทโฟนเรือธงมาทุกครั้งในงานเปิดตัว ซึ่งโดยมากคนก็มักจะเลือกตัวท็อปไปเลย ด้วยความแตกต่างที่ห่างกันเหมือนไม่เต็มใจขาย รวมถึง Galaxy Note 20 ที่เพิ่งเปิดตัวไปก็มีเสียงบ่นมาเช่นเดิม แต่หลังจากพิจารณาแล้วผมมีความเห็นต่างออกไป จนเรียกได้ว่าแทงสวน อยากแนะนำให้ซื้อรุ่นย่อยมากกว่าแทน แต่เพราะอะไรนั้น มาดูกัน

สำหรับความแตกต่างแบบละเอียดของสองรุ่นนี้สามารถดูแบบเต็มๆได้ที่

เปรียบเทียบสเปค Galaxy Note 20 และ Galaxy Note 20 Ultra มีอะไรเหมือนหรือแตกต่างกันบ้าง

ส่วนด้านล่างนี้จะเป็นตัวสรุปที่ผมลิสต์ออกมาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถดูกันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม และในหัวข้อทำไมถึงไม่ได้สนใจ เป็นความเห็นส่วนตัวที่อยากจะนำมาแชร์เพื่อน ๆ หลังจากที่ได้จับทั้งสองตัวมาเรียบร้อย ซึ่งเชื่อว่าต้องมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็น ก็สามารถมาแสดงความคิดเห็น เพื่อให้เพื่อนๆที่กำลังตัดสินใจกันอยู่ทราบกันเพิ่มเติมได้นะครับ

สิ่งที่ Galaxy Note 20 Ultra ดีกว่า Note 20

แน่นอนว่า Galaxy Note 20 Ultra เป็นตัวท็อปของซีรีส์นี้ สเปคภาพรวมจึงต้องดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด และเทคโนโลยีก็จะใหม่กว่าดีกว่าแน่นอน ได้แก่

  • หน้าจอ 120 Hz ขนาด 6.9″ ความละเอียด WQHD+
  • วัสดุเครื่องเป็นกระจก Gorilla Glass 7 Victus ทนทานกันรอยขีดข่วนและการตกแตกได้ดี
  • RAM 12 GB (5G)
  • กล้อง 108 ล้าน กับเซนเซอร์ไซส์ที่ใหญ่ถึง 1/1.33″
  • กล้องเทเล FOV 20° ซูม 50X
  • Laser AF Sensor
  • หน่วยความจำขนาดใหญ่ 512 GB
  • แบตขนาดใหญ่กว่า 4500 mAh
  • ปากกา 9ms
  • รองรับ microSD Card

อย่างไรก็ดี ฟีเจอร์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราต้องการมากแค่ไหน เราจำเป็นต้องสนใจมันมากจนต้องยอมจ่ายแพงขึ้นหรือไม่ ก็ขอบอกเล่าประมาณนี้ละกันครับ

ทำไมฟีเจอร์ที่เหนือกว่าบน Galaxy Note 20 Ultra ถึงไม่ได้น่าสนใจ

ที่บอกว่าไม่น่าสนใจในที่นี้เป็นความเห็นส่วนตัว และประสบการณ์ที่ลองใช้งานมานะครับ

  • ชอบจอ 120Hz ก็จริง แต่ถึงเวลาก็ไม่อยากเปิดใช้ เพราะสูบแบตขึ้นกว่าเดิมมาก สุดท้ายยอมกดลงมาที่ 60Hz เพื่อแบตที่ทนนานมากกว่า
  • หน้าจอ 6.9″ ทำเอาเครื่องบานมากกกก ถือไม่ถนัดมือ 6.7″ บน Note 20 เข้ามือมากกว่า
  • หน้าจอลงโค้งบน Ultra ใช้งานขีดเขียนไม่ถนัดเลยยยยยย ชอบแบนๆ บน Note 20 กว่าเยอะ
  • ความละเอียดจอ WQHD+ ถึงเวลาจริงก็เปิดแค่ FHD+ อยู่ดี เพื่อประหยัดแบต
  • จะ Gorilla Glass ไหนสุดท้ายก็ต้องติดฟิล์ม ใส่เคส – บน Note 20 จะใช้เพียง Gorilla Glass 5 เท่านั้น ซึ่งเมื่อตกกระแทกอะไรก็อาจจะแตกง่ายกว่า ซึ่งบทมันจะแตก จะกอริลล่าตัวไหนก็แตกนะ
  • RAM 8GB บน Galaxy Note 20 กับจอ FHD+ ก็เหลือเฟือแล้ว
  • กล้อง 108 ล้าน ก็แอบเสียดายเบาๆ กับเซนเซอร์ใหม่ แต่พอเจอข้อเสียเรื่อง DoF ค่อนข้างตื้น กลายเป็นภาพเบลอ หลุดโฟกัสง่ายกว่า ก็เลยไม่เสียดายมาก
  • Laser AF Sensor ไม่น่าเสียดายอะไรเมื่อกล้อง Note 20 เป็น Dual Pixel ที่โฟกัสไวไม่แพ้กัน
  • Note 20 Ultra กล้องหลังนูนมากกกกก ต่างจาก Galaxy Note 20 ที่แทบไม่นูน เวลาหยิบ S Pen มาเขียนบนจอเครื่องโขยกเขยกน้อยกว่า และยังพอเขียนได้ดี
  • ซูม 50X นับครั้งที่ใช้จริงได้ แถมภาพก็ไม่ได้สวยมาก แต่กล้อง Tele บน Note 20 ก็เกินไปหน่อย ให้เป็นกล้องความละเอียด 64MP ระยะเลนส์พอๆกับเลนส์หลักมา แล้วใช้ Digital Zoom ล้วน ไม่มี Optical เลย
  • แบตขนาดใหญ่กว่า 4500 mAh แต่ Note 20 Ultra ก็หน้าจอใหญ่กว่าแถม 120Hz กินไฟหนักกว่าเยอะ
  • บอดี้กระจก เมื่อลองจับตัวจริงเทียบ Reinforced Polycarbonate (พลาสติกเสริมแรงชั้นสูง) ที่ใช้กับ Note 20 แล้วก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น
  • ปากกา 9ms vs 26ms บน Note 20 จับความต่างได้นิดหน่อย แบบเบาๆ แต่เจอจอโค้งที่ขอบแล้ว ก็ทำเอาไม่อยากเขียน ขอใช้จอแบนบน Note 20 ดีกว่า
  • microSD Card หลังๆมาก็ไม่ได้ไปหาเสียบเข้าเครื่องอีกเลย เมม 128GB ปัจจุบันยังใช้ไม่หมด เพราะแบคอัพภาพขึ้น Google Photos เสร็จแล้วก็เคลียร์ออก

สิ่งที่ Galaxy Note 20 และ Note มีไม่ต่างกัน

  • รองรับ 5G ทุกคลื่นในไทย
  • รองรับ Wi-Fi 6
  • กันน้ำกันฝุ่น IP68
  • เซนเซอร์ และฟีเจอร์ต่างๆ

สรุปรวมสิ่งที่ยังอยากได้จริงๆบน Galaxy Note 20 Ultra

  • ไม่มี

แต่เพื่อไม่ให้ดูเวอร์ไป เอาเป็นว่าก็แอบเสียดายหน่อยๆ ที่ไม่มี หน้าจอ 120Hz, microSD, S Pen ที่ตอบสนอง 9ms และบอดี้กระจก แต่ก็ไม่ได้เสียดายมากเลยนะ เอาจริงๆ ถ้าต้องแลกกับสิ่งที่ชอบใน Galaxy Note 20 บวกกับราคาที่หายไปเยอะ

สิ่งที่ชอบ Galaxy Note 20 มากกว่า Note 20 Ultra

  • หน้าจอแบนราบ
  • สีเขียวมิ้นต์ 555555 (ก็ชอบอะ)
  • น้ำหนักที่เบาลงไป 15 กรัม (เหมือนจะน้อย แต่ถือยาวๆ ก็รู้สึกนะ)
  • ขนาดความกว้างเครื่อง จับถือง่ายกว่า

สรุป Galaxy Note 20 ไม่ใช่ไม่น่าใช้ แต่แค่ราคาสูงเกินไป

ทั้งหมดนี้ทำให้ส่วนตัวอยากได้ Galaxy Note 20 มากกว่า Note 20 Ultra ยอมแลกข้อดีต่างๆ และสเปคขั้นสูงที่ Samsung พยายามยัดมาให้ใน Ultra เปลี่ยนลงมาใช้ที่ตัวน้อง Note 20 ธรรมดาแทน ซึ่งเท่าที่อ่านความคิดเห็นมาจากหลายแหล่ง สิ่งที่หลายคนบ่นถึง Note 20 จริงๆ ก็คือ จ่ายเงินซื้อโทรศัพท์ที่ราคาสามหมื่นบาท แต่กลับได้เครื่องพลาสติก … เมื่อลองจับประเด็นดี ๆ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เครื่องพลาสติกหรือไม่? เรื่องของเรื่องอยู่ที่ราคาที่สูงเกินไป ที่เราจะยอมจ่ายให้กับสมาร์ทโฟนบอดี้พลาสติกที่ราคาสามหมื่นมากกว่าใช่หรือไม่?

ถ้าคุณก็คิดเหมือนกันว่าใช่ มันก็จะมีคำถามมาต่อว่าแล้วคุณคิดว่า Galaxy Note 20 ควรจะต้องตั้งราคาที่เท่าไหร่? ถ้าลดราคาให้ 5,000 / 7,500 / 10,000 บาท จะยอมซื้อกันรึเปล่า? (อย่าลืมบวกความเป็น 5G เข้าไปให้ด้วยนะ Snap865 5G ตอนนี้ราคาก็ 25k+ ทั้งนั้น)

Galaxy Note 20 5G ราคาหายเกือบหมื่นในช่วง pre-order

แต่ๆๆ รู้กันรึเปล่าว่าในช่วง pre-order นี้ (วันนี้วันสุดท้าย 555) Galaxy Note 20 สามารถกดราคาลงไปได้เหลือเพียง 25,110 บาท โดยไม่ติดสัญญา ไม่มีข้อผูกมัด แถมผ่อน 0% 10 เดือนผ่านบัตร SCB ได้อีก กล่าวคือ ราคาหายไปเกือบหมื่น กลายเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่รองรับ 5G ในราคาประมาณ 25,000 บาท เท่านั้น ถ้าเทียบกับ Galaxy A71 5G ที่ราคา 19,900 บาทแล้ว Galaxy Note 20 นี่กลายเป็นคุ้มค่าไปเลยนะ บ่องตง

ทั้งหมดนี้ ก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่อยากจะแชร์ เผื่อว่าจะไปโดนใจใครบางคนเข้า และตัดสินใจเลือกซื้อ Galaxy Note 20 กันแทน ซึ่งถ้าใครคิดว่าไม่ต้องรีบซื้อก็ได้ เดี๋ยวราคาก็ลง อันนี้ก็เห็นด้วย แต่ก็มารอติดตามกันว่า ราคาของ Note 20 5G จะลดลงไปที่ราว 25k ตามราคา pre-order เมื่อไหร่ ซึ่งจากสถิติเก่าแล้ว ถ้าหายเยอะขนาดนี้ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องหลายเดือนอยู่เหมือนกัน ถ้าวางขายปุ๊บ เทราคาปั๊บ คงทัวร์ลงเพจซัมซุงกันสนุกสนานล่ะจ้า 55555

ขอเชิญมาพูดคุยกันต่อได้ในคอมเม้นต์ครับ ยินดีรับฟังความคิดเห็นเพื่อนๆทุกคนนะ