เปิดตัวไปแล้วเรียบร้อย สำหรับมือถือซีรีส์เรือธง Galaxy S20 ทั้ง 3 รุ่น ที่ก่อนหน้านี้มีทั้งฟีเจอร์ และสเปคต่างๆ หลุดออกมาเพียบไปหมด โดยคราวนี้ Galaxy S20 Ultra จัดเต็มสุดๆ ด้วยสเปคกล้องในระดับเทพเอาใจสายโปร ส่วนรุ่นอื่นๆ ถึงแม้จะไม่มีกล้องโหดเท่า แต่ก็เรียกว่าอัดของเด็ดๆ มาให้ไม่ได้แพ้กันเลยล่ะ

ดีไซน์

Galaxy S20 ทั้ง 3 รุ่น มีดีไซน์ที่ค่อนข้างเหมือนกันด้วยกระจกหน้าจอ Gorilla Glass 6 แบบขอบโค้ง 2.5D รวมไปถึงฝาหลังที่ใช้กระจกชนิดเดียวกันด้วย ส่วนกรอบเครื่องยังเป็นเป็นโลหะคงความหรูหราเอาไว้เหมือนซีรีส์เรือธงรุ่นก่อนๆ

หน้าจอ

หน้าจอของมือถือซีรีส์ Galaxy S20 ยังคงใช้ดีไซน์แบบ Infinity-O เหมือนกับ Galaxy Note 10 ที่เจาะรูสำหรับวางกล้องเซลฟี่เอาไว้ ส่วนหน้าจอก็ยังคงความเทพเอาไว้ด้วยเทคโนโลยี Dynamic AMOLED 2X  ความละเอียดสูงถึงระดับ 2K และรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+

แถมยังอัพเกรดขึ้นมาอีกด้วยรีเฟรชเรทที่สูงถึง 120Hz ทำให้การเคลื่อนไหวต่างๆ บนหน้าจอสมูธกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนหน้าจอไปมา, การเล่นเกม หรืออื่นๆ ส่วนกระจกหน้าจอตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนดีไซน์มาใช้กระจกโค้งแบบ 2.5D ทำให้ขอบจอโค้งน้อยลงกว่าเดิมมากเลยทีเดียว

สำหรับหน้าจอของทั้ง 3 รุ่น จะมีขนาดต่างกัน โดย Galaxy S20 Ultra มีหน้าจอขนาด 6.9 นิ้ว, Galaxy S20+ หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว และ Galaxy S20 หน้าจอขนาด 6.2 นิ้ว

RAM แบบ LPDDR5

Galaxy S20 ทั้ง 3 รุ่น มากับ RAM แบบ LPDDR5 เพิ่มความเร็ว และแรงของประสิทธิภาพเครื่องให้มากกว่าเดิม

กล้องหลัง

Galaxy S20 ทั้ง 3 รุ่น มีสเปคกล้องหลังและฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป โดยรุ่นท็อปสุดอย่าง Galaxy S20 Ultra มาพร้อมเซ็นเซอร์หลักความละเอียดสูงลิ่วถึง 108MP + กล้อง Telephoto 48MP + กล้อง Ultrawide 12MP + เซ็นเซอร์ 3 มิติ DepthVision

มากับฟีเจอร์สุดเทพอย่าง Space Zoom 100x ที่สามารถซูมแบบ Hybrid Optic Zoom ได้ 10x และแบบ Space Zoom ที่ดันออกไปได้ไกลสุดๆ ถึง 100x

ส่วน Galaxy S20 และ S20+ แม้ว่าจะไม่มีกล้องหลักความละเอียดสูง และไม่ได้มีกล้องซูมโหดขนาดนั้น แต่ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็สามารถซูมแบบ Hybrid Optical Zoom ได้ 3x และ Space Zoom ได้ถึง 30x

Galaxy S20 Ultra ยังสามารถถ่ายภาพแบบเต็มความละเอียดที่ 108MP เพื่อเอาภาพความละเอียดสูงดังกล่าวมา Crop ส่วนที่ต้องการ โดยยังมีความคมชัด และความละเอียดสูงได้ด้วย

ถ่ายวิดีโอ 8K

Galaxy S20 ทั้ง 3 รุ่น มีทั้งกล้อง และสเปคเครื่องที่ทรงพลังสุดๆ จนสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูง 8K 24fps ได้แบบสบายๆ จนเอาไปฉายขึ้นจอโรงหนังแล้วภาพก็ยังคมกริบบาดตาบาดใจ

นอกจากนี้หากเราแคปภาพนิ่งจากวิดีโอ 8K ก็จะได้ความละเอียดของภาพนิ่งออกมาที่ 33MP ให้เอาไปใช้ต่อได้เลย

กล้องหน้า

Galaxy S20 Ultra มีกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 40MP พร้อม Night Mode สำหรับเซลฟี่ในที่แสงน้อยให้ออกมากระจ่างใสเป็นธรรมชาติ แถมยังสามารถถ่ายวิดีโอเซลฟี่ความคมชัด 4K ได้อีกด้วย

แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ

Galaxy S20 มากับแบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh และ Galaxy S20+ มีแบตเตอรี่ขนาด 4500 mAh ส่วนรุ่นพี่ Galaxy S20 Ultra มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่สุดที่ 5000 mAh โดย Galaxy S20 ทั้ง 3 รุ่น ได้ถูกปรับแต่งซอฟท์แวร์มาอย่างดีอีกด้วย ทำให้สามารถใช้งานข้ามวันสบายๆ

สเปค Galaxy S20 Ultra / S20+ / S20

สเปคGalaxy S20 UltraGalaxy S20+Galaxy S20
หน้าจอDynamic AMOLED 2X 6.9 นิ้ว ความละเอียด 2K รีเฟรชเรท 120HzDynamic AMOLED 2X 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2K รีเฟรชเรท 120HzDynamic AMOLED 2X 6.2 นิ้ว ความละเอียด 2K รีเฟรชเรท 120Hz
CPUSnapdragon 865 / Exynos 990Snapdragon 865 / Exynos 990Snapdragon 865 / Exynos 990
RAM (LPDDR5)12GB / 16GB8GB / 12GB8GB / 12GB
ความจุ128GB / 256GB / 512GB รองรับ MicroSD 1TB (ช่องแยก)128GB / 512GB รองรับ MicroSD 1TB (ช่องแยก)128GB รองรับ MicroSD 1TB (ช่องแยก)
กล้องหลัง108MP (Wide) + 48MP (Tele) + 12MP (Ultrawide) + ToF12MP (Main) + 64MP (Tele) + 12MP (Ultrawide) + ToF12MP (Wide) + 64MP (Tele) + 12MP (Ultrawide)
กล้องหน้า40MP (Wide)10MP10MP
แบตเตอรี่5000 mAh4500 mAh4000 mAh
ระบบชาร์จไว45W25W25W
มาตรฐานกันน้ำ / ฝุ่นIP68IP68IP68
ระบบปฏิบัติการAndroid 10 ครอบด้วย One UI 2.0Android 10 ครอบด้วย One UI 2.0Android 10 ครอบด้วย One UI 2.0
ขนาด / น้ำหนัก167 x 76 x 8.8 มม. / 220 กรัม162 x 73.7 x 7.8 มม. / 186 กรัม151.7 x 69.1 x 7.9 มม. / 163 กรัม

ราคา

ราคาวางจำหน่ายของซีรีส์ Galaxy S20 ในโซนอเมริกาประกาศออกมาดังนี้

  • Galaxy S20 5G เริ่มต้น 999 ดอลลาร์ (ประมาณ 31,200 บาท)
  • Galaxy S20+ 5G เริ่มต้น 1,199 ดอลลาร์ (ประมาณ 37,500 บาท)
  • Galaxy S20 Ultra 5G เริ่มต้น 1,399 ดอลลาร์ (ประมาณ 44,000 บาท)

มือถือซีรีส์ Galaxy S20 จะเริ่มวางจำหน่ายทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ส่วนในประเทศไทยต้องมารอดูราคากันอีกรอบนะครับว่าจะอยู่ที่เท่าไหร่ และจะมีรุ่น 5G เข้ามาด้วยรึเปล่า เพราะถ้าเป็นรุ่นที่รองรับเฉพาะระบบ 4G ราคาก็จะถูกลงกว่าที่ประกาศบนเวทีอยู่พอสมควร