ในยุคปัจจุบันที่คนแต่ละคนนั้นเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น คนจำนวนมากมีสมาร์ทโฟนไว้ใช้งาน แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นยังมีความแตกต่างกันหลายประการทำให้การประสานงานกันของอุปกรณ์นั้นเป็นไปได้ไม่สะดวกนัก จะดีแค่ไหนหากเทคโนโลยี สมาร์ทโฟน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้ารอบตัวเรานั้นสามารถสื่อสารกันได้
เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยในเราใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการอุณหภูมิภายในบ้าน การแจ้งตารางเดินรถสาธารณะ หรือแม้กระทั่งการทำการเกษตรที่มีเทคโนโลยีในการควบคุมการเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมานี้คือแนวคิดของเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า “Internet of Things”
เอาล่ะ ผมเชื่อว่าน่าจะหลายๆ คนยังเห็นภาพของ Internet of Things ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก จริงๆ แล้วแนวคิด Internet of Things เป็นเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัวเรามากครับ เพราะการทำงานของอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องนั้นจะแทรกซึมไปกับการใช้ชีวิตของเรา ผมจะลองยกตัวอย่างหนึ่งให้ลองนึกภาพตามนะครับ (ถ้าหากใครรู้สึกว่า ยาวไปไม่อ่าน กดที่นี่เพื่อข้ามไปที่เนื้อหาได้เลยครับ)
“คุณตื่นคุณขึ้นมาในเวลา 7 โมงเช้าในวันหยุด ลุกออกจากเตียงนอน หยิบสมาร์ทโฟน หลังจากที่ระบบของบ้านตรวจพบความเคลื่อนไหวของคุณ ทีวีก็เปิดขึ้นพร้อมฉายช่องข่าวเช้าให้คุณฟัง เครื่องชงกาแฟต้มกาแฟให้คุณ แมวที่คุณเลี้ยงวิ่งมาหาคุณคลอเคลียอยู่พักหนึ่ง จึงหลบไปกินอาหารเม็ดจากเครื่องให้อาหาร หลังจากที่คุณกินข้าวเช้าเสร็จ ระบบแจ้งเตือนสภาพอากาศแดดดีไม่มีฝน คุณจึงตัดสินใจซักผ้า
ระหว่างที่เครื่องซักผ้ากำลังซักผ้าอยู่ เพื่อนของคุณโทรมาหาชวนจัดปาร์ตี้ที่บ้านของคุณ คุณตกลงและพูดคุยถึงเมนูอาหารสำหรับมื้อค่ำ เมื่อวางสาย สมาร์ทโฟนคุณก็ขึ้นข้อมูลอาหารท่คุณคุยกับเพื่อนไว้ และบันทึกข้อมูลรายการอาหารให้ ตู้เย็นแจ้งเตือนคุณว่าคุณมีไก่ไม่พอสำหรับเมนูไก่อบในคำคืนนี้คุณจึงบันทึกเป็นรายการของที่จะต้องซื้อ ขณะนั้นเองเครื่องซักผ้าก็แจ้งเตือนว่าผ้าที่ซักนั้นซักเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณจึงตากผ้าก่อนที่จะออกไป
คุณสวมสมาร์ทวอทช์และเดินออกจากประตูบ้าน เมื่อระบบภายในบ้านทราบว่าคุณพ้นประตูแล้วก็จะปิดทีวีและไฟในบ้านและล็อกประตูบ้านให้ เมื่อเดินไปที่ป้ายรถเมล์ใกล้บ้าน คุณจึงพลิกสมาร์ทวอทช์ขึ้นเพื่อดูเที่ยวของรถเมล์ สมาร์ทวอทช์จะแสดงสายรถเมล์ที่ไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตได้เองเพราะรู้ว่าคุณต้องการไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร คุณเดินใกล้ถึง สมาร์ทวอทช์แจ้งว่ารถเมล์มาถึงแล้วเพื่อให้คุณรีบขึ้นเพื่อให้ขึ้นรถเมล์ทัน
เมื่อถึงซุปเปอร์ฯ แล้ว คุณพลิกสมาร์ทวอทช์ดูและหน้าจอแสดงรายการของที่จะซื้อ แทนที่สมาร์ทวอทช์จะแจ้งรายการเฉพาะเนื้อไก่ที่คุณจะใช้ทำอาหาร มันอาศัยข้อมูลที่ว่าคุณจะจัดงานปาร์ตี้จึงแนะนำให้คุณซื้อเครื่องดื่มและของหวานสำหรับเมนูมื้อค่ำด้วย คุณเดินตามชั้นวางสินค้าและสมาร์ทวอทช์สั่นเตือนว่าเจอแผนกขายเนื้อสัตว์แล้ว หลังจากคุณซื้อวัตถุดิบและเครื่องดื่มเสร็จ สมาร์ทโฟนคุณสั่นและได้รับข้อความจากเครื่องให้อาหารแมวที่บ้านว่าอาหารเม็ดใกล้หมด คุณจึงแวะซื้อเพิ่มด้วย เมื่อคุณกลับถึงบ้านใช้สมาร์ทวอทช์ในการปลดล็อกประตู เมื่อประตูเปิด ไฟในบ้านก็ติด อากาศในตอนบ่ายนั้นร้อนมาก เครื่องปรับอากาศจึงทำงานเพื่อให้ภายในบ้านนั้นมีอากาศเย็นสบาย
เมื่อคุณกลับมาถึงบ้าน ราวตากผ้าแสนอัจฉริยะของคุณก็แจ้งว่าผ้าที่ตากนั้นแห้งแล้ว คุณเก็บผ้าเสร็จและลงมือทำอาหารรอเพื่อนคุณ ระหว่างที่คุณกำลังจะทำไก่อบ เตาอบก็จะเสนอสูตรการปรุงไก่ให้ได้รสชาติแซ่บถูกใจ พร้อมทั้งประเมินอุณหภูมิและเวลาที่ใช้อบจากปริมาณเนื้อไก่ได้อีกด้วย
เพื่อนคุณมาถึงแล้ว บ้านก็ปรับอุณหภูมิในห้องให้เหมาะกับจำนวนคนที่มาร่วมงาน คุณสังสรรค์กับเพื่อนจนดึกและเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันกลับเมื่อบ้านเงียบลงและเหลือเพียงคุณ ห้องอาบน้ำจะเตรียมพร้อมสำหรับให้คุณอาบน้ำ และเมื่อคุณเข้านอน วางโทรศัพท์ไว้โต๊ะข้างเตียง ระบบของบ้านไม่พบการเคลื่อนไหวเพิ่มเติมของคุณ จึงหรี่ไฟลงจนมืด สร้างบรรยากาศการนอนที่ดีให้กับคุณ“
อุปกรณ์แต่ละอย่างภายในบ้านกับสมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอทช์ของคุณนั้นอาศัยการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตในการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้กันและกันและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สภาพที่ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถสื่อสารกันได้ผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างที่ว่านี้ก็คือแนวคิดของ Internet of Things ครับ
กูเกิลได้กล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของเทคโนโลยี Internet of Things นั้นคือการออกแบบให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่าย (User Experience) เพราะจากเดิมที่ต่างอุปกรณ์ก็ต่างมาตรฐาน กูเกิลต้องการที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมาให้เป็นมาตรฐานกลาง โดยนั้นก็คือที่มาของการพัฒนาระบบปฏิบัติการณ์ Brillo
Brillo เป็นระบบปฏิบัติการณ์ที่ถูกย่อยมาจาก Android อีกทีหนึ่ง โดยถูกลดขนาดให้เหลือเฉพาะการทำงานที่จำเป็นและและใช้ทรัพยากรฮาร์ดแวร์ที่น้อยลง เพื่อนำไปใช้กับฮาร์ดแวร์สำหรับ Internet of Things อย่างเช่นอุปกรณ์ของ Nest
และนอกจาก Brillo แล้วกูเกิลก็ได้พูดถึง Weave โดย Weave เป็นโปรโตคอลหรือมาตรฐานหนึ่งสำหรับการติดต่อสื่อสารกับระหว่างอุปกรณ์ โดยทั้งมือถือ อุปกรณ์ที่ใช้ระบบ Brillo และระบบเน็ตเวิร์กที่เป็น Cloud นั้นจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายดายด้วย Weave
Weave นั้นจะมีส่วนที่เป็น “ภาษา” ของตนเองอยู่ เช่น การใช้คำสั่ง takePicture ของกล้องก็จะเป็นการสั่งให้อุปกรณ์ที่ติดต่ออยู่ ณ เวลานั้นถ่ายรูป ภาษาที่ว่านี้คือตัวกลางที่ทำให้แต่ละอุปกรณ์นั้นสามารถสื่อสารสิ่งเดียวกันได้เข้าใจตรงกันแบบไร้รอยต่อ และนอกจากนี้แล้ว Weave ยังรอบรับการทำงานข้ามแพลตฟอร์มอีกด้วย นั่นก็คือมันไม่ได้รองรับเฉพาะ Android เท่านั้น แต่มันรองรับระบบปฏิบัติการณ์อื่นๆ อีกด้วย
มาในในฝั่งของสมาร์ทโฟน สมาร์ทโฟนของเราจะสามารถมองเห็นได้ว่ามีอุปกรณ์ใดบ้างที่ใช้งาน Brillo อยู่ในบริเวณ เราสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อสั่งงานมันได้คล้ายกับใช้รีโมทควบคุมเลยทีเดียว
สำหรับนักพัฒนาแอปหรือผู้ที่สนใจที่จะศึกษาหรือนำ Brillo และ Weave มาลองเล่น กูเกิลได้บอกว่าระบบปฏิบัติการณ์ Brillo นั้นจะเริ่มปล่อยให้ทดลองใช้แบบ Developer Preview ในไตรมาสที่สามของปีนี้ และ Weave นั้นก็จะตามมาแบบสมบูรณ์เต็มรูปแบบในไตรมาสที่สี่ครับ
ขอบคุณครับ วันก่อนหัวหน้าผมก็มาคุยเรื่องนี้ให้ฟังอยู่ ว่าเป็น Trend ของ Hardware ที่กำลังจะไป …
ใช่เลย อินเตอร์เน็ตออฟติง อยากให้คนไทยหันมาทำพวกนี้เยอะๆ เพราะง่ายต่อการต่อยอด และใช้ฮาร์ดแวร์ราคาไม่สูง
อาจารย์หลายคนก็พูดคำนี้บ่อยๆ Internet of things