หลังจากที่ Google Glass ออกวางขายเฉพาะในอเมริกาและอังกฤษเมื่อช่วงปี 2013 และได้ยกเลิกการวางขายไปในช่วงปี 2015 เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงผู้ใช้ทั่วไปรวมถึงการใช้งานในชีวิตประจำวัน ตอนนี้ Google ก็เลยหันมาพัฒนาสเปค Google Glass ให้เหมาะกับการใช้งานในองค์กรมากกว่าการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยมาในชื่อใหม่ว่า Google Glass Enterprise Edition

จากที่ Google เคยคาดหวังว่า Google Glass จะเข้ามาทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นด้วยการใส่ Google Glass ออกไปนอกบ้านเพื่อทำธุระต่างๆ และสามารถใช้งานได้ทั้งการนำทาง การแปลภาษา การหาข้อมูลต่างๆ ฯลฯ โดยที่ไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดู แต่สุดท้าย Google Glass ก็ไม่สามารถเข้าถึงผู้ใช้ทั่วๆไปได้เพราะด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงและดีไซน์ที่บางคนก็ว่ามันดูล้ำเกินไปจนไม่กล้าใส่ออกไปนอกบ้าน แถมยังมีเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเข้ามาอีก เพราะ Google Glass มีกล้องที่สามารถถ่ายภาพและอัดวีดีโอได้ติดมาด้วย

แต่ Google Glass Enterprise Edition รุ่นใหม่ที่กำลังจะออกวางขายนั้น จะเน้นไปที่การใช้งานในด้านองค์กรหรืออุตสาหกรรมมากกว่า และแน่นอนว่าต้องมีการเปลี่ยนสเปคบางส่วนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในด้านอุตสาหกรรมด้วย เช่น เลนส์ปริซึ่มที่ใหญ่ขึ้น, เปลี่ยน CPU, เพิ่มการกันน้ำ และคราวนี้สามารถพับขาแว่นได้แล้ว เราลองมาดูสเปคเต็มๆของ Enterprise Edition กันครับ

ระบบแสดงผล

Enterprise Edition ใช้ระบบแสดงผลแบบแท่งแก้วปริซึ่มเล็กๆที่ติดอยู่เหนือกรอบแว่น มีความละเอียดที่ 640 x 360 เท่า Google Glass รุ่นเดิม แต่จะมีขนาดปริซึ่มที่กว้างกว่าเดิมเล็กน้อย

ระบบเสียง

Google Glass รุ่นเดิมจะใช้ระบบ Bone Conduction ที่จะส่งเสียงผ่านกระดูกหูแทนการใช้ลำโพง แต่ใน Enterprise Edition จะเปลี่ยนมาใช้ลำโพงส่งเสียงข้างๆหูแทน ซึ่งการใช้ลำโพงแบบนี้จะให้เสียงที่ดีกว่าการใช้ Bone Conduction

เซ็นเซอร์

Enterprise Edition เพิ่มระบบเซ็นเซอร์เข้ามาจากรุ่นเดิมที่มีแค่ เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง, เข็มทิศ, เซ็นเซอร์จับการกระพริบตาทั้งข้างเดียวและ 2 ข้าง โดยในรุ่นใหม่จะมีการเพิ่มเซ็นเซอร์วัดความดันอากาศ, เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวศีรษะ, เซ็นเซอร์ตรวจจับการพับขาแว่น, GPS และ GLONASS

WiFi และการเชื่อมต่อ

Enterprise Edition มีการอัพเกรด WiFi เป็น dual-band 2.4 + 5 GHz 802.11 a/b/g/n/ac, รองรับ Bluetooth LE และ HID และยังรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth ได้หลายเครื่องอีกด้วย

กล้อง

กล้องของ Enterprise Edition ยังคงมีความละเอียดในการถ่ายภาพนิ่งที่ 5MP และวีดีโอ 720p เท่ารุ่นเดิม แต่มีการพัฒนาให้มุมมองกว้างขึ้น มีสีที่สมจริงมากขึ้น และมีไฟ LED โชว์ที่หน้าแว่นเมื่อมีการอัดวีดีโอ (ป้องกันการแอบถ่าย)

CPU

Enterprise Edition จะใช้ชิป Intel Atom ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นรุ่นอะไร เพราะมีข้อมูลออกมาว่าเป็นชิป 32-bit ที่สั่งทำพิเศษเพื่อใช้กับ Enterprise Edition โดยเฉพาะ

RAM และความจุ

มีการเพิ่มความจุเป็น 2 เท่าจากรุ่นเดิมที่มีอยู่ 16GB เป็น 32GB ส่วน RAM ยังเท่าเดิมที่ 2GB

แบตเตอรี่

Enterprise Edition เปลี่ยนจากการใช้สายชาร์จแบบ MicroUSB มาใช้ช่องชาร์จแบบ pin ทำให้อุปกรณ์เสริมสำหรับรุ่นเก่าใช้ด้วยกันไม่ได้ในรุ่น Enterprise Edition และเพิ่มความจุแบตเตอรี่จาก 570 เป็น 780 mAh

อุปกรณ์เสริม

Enterprise Edition จะมีอุปกรณ์เสริมใหม่ๆตามออกมาด้วยเช่น แบตเตอรี่สำรอง, กรอบแว่นแบบใหม่, เลนส์กันแดด ฯลฯ

ซึ่งการใช้งาน Google Glass Enterprise Edition ในคราวนี้จะไม่ใช่แค่การใส่ออกไปนำทาง ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ หาข้อมูลร้านอาหาร หาของกิน แบบที่ Google เคยตั้งใจเอาไว้แล้ว แต่จะเน้นในด้านการทำงานอย่างเช่นการแสดงรายชื่อและข้อมูลของผู้ป่วยสำหรับหมอและพยาบาล, รายละเอียดชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ต่างๆในโรงงาน โดยที่ไม่ต้องคอยถือสมุดรายชื่อให้เกะกะอีกต่อไป ส่วนวันวางจำหน่ายตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลออกมาเลย และเรื่องราคานั้น…รับรองว่าแพงเหมือนเดิม (หรือมากกว่าเดิม) แน่นอน

 

ที่มา : 9to5google