คนที่ใช้แอป Google Photos บ่อย ๆ น่าจะรู้กันแล้วว่ามันมีฟีเจอร์แท็กใบหน้าของคนในภาพถ่ายแบบอัตโนมัติ ทำให้เราสามารถค้นหาภาพที่มีหน้าของคนที่ต้องเราต้องการอยู่ในแกลลอรี่ได้แบบง่ายดายสุด ๆ (หรือจะหาสัตว์เลี้ยงก็ยังได้) แต่ตอนนี้ Google Photos ถูกอัปเกรดไปอีกขั้น เพราะแม้ว่าคนในภาพถ่ายจะไม่ได้หันหน้าให้กล้อง ระบบก็ยังสามารถแท็กได้อย่างแม่นยำว่าเป็นภาพด้านหลังของใคร

แอป Google Photos สามารถแท็กหน้าของบุคคลต่าง ๆ ที่อยู่ในภาพถ่ายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งความสามารถนี้อาจจะไม่ได้แปลกใหม่อะไร เพราะในเว็บโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook ก็ทำได้มาตั้งนานนมแล้ว ถ้าใครยังไม่เคยลองก็เข้าไปดูใน Google Photos ได้เลยว่าแต่ละภาพที่อัปโหลดไปแล้วจะถูกแท็กหน้าเอาไว้ โดยเลือกภาพที่ต้องการแล้วไถขึ้นข้างบนจะเจอแถบ People โชว์หน้าคนที่อยู่ในภาพนี้ (ถ้ายังไม่เคยใช้ก็กดแท็กแล้วบันทึกชื่อไว้ เพื่อใช้ค้นหาภาพที่มีคนคนนี้อยู่ได้)

หันหน้าหากล้องแท็กได้สบาย ๆ อยู่แล้ว

และตอนนี้ระบบ AI ของ Google Photos ยิ่งฉลาดขึ้นไปอีกขั้น เพราะแม้ว่าจะเป็นภาพที่คนหันข้าง ผมปิดหน้า หรือแม้แต่หันหลังก็ยังแท็กได้ถูก ซึ่งจากการทดลองเล่นไปซักพักก็พบว่ามันยังไม่ได้แม่นยำขนาดว่าแท็กถูกต้อง 100% ถึงยังงั้นก็ยังสามารถแท็กได้ถูกต้องซะเป็นส่วนมาก

หันหลังก็ยังรู้ว่าใคร

แม้ Google จะไม่ได้อธิบายว่าใช้วิธีไหนในการแท็กคนด้านหลังว่าเป็นคนเดียวกันกับที่เราเคยบันทึกเอาไว้ แต่จากที่ลองเล่นแล้วคิดว่าระบบ AI น่าจะใช้วิธีเรียนรู้จากการดูภาพอื่น ๆ ที่ถ่ายไว้ในเวลาใกล้เคียงกัน อาจจะสังเกตทรงผม เสื้อผ้า สถานที่ แล้วมาคำนวณเอาว่าเป็นคนเดียวกันรึเปล่า เพราะรูปที่หันหลังแต่ยังแท็กถูกว่าเป็นคนเดียวกันส่วนมากจะอยู่ในเงื่อนไขที่บอกไป

คาดว่าน่าจะดูจากรูปอื่น ๆ ที่ถ่ายในเวลาไล่เลี่ยกันแล้วประมวลผลว่าเป็นคนเดียวกันรึเปล่า

ส่วนรูปหันหลังที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาแบบไม่มีภาพมุมอื่น ๆ ของคนนั้นเลย ระบบจะให้เราแยกแยะให้อีกทีว่าเป็น “หัวของใคร”

ถ้าเป็นภาพโดด ๆ มาแบบไม่มีรูปใกล้เคียงให้เทียบ ระบบจะให้เราแท็กเองว่าเป็นใคร

ก็นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้เราสามารถค้นหาภาพถ่ายของคนที่แท็กเอาไว้ได้แบบง่าย ๆ เลย เพราะก่อนนี้เวลาจะค้นหาภาพที่ไปเที่ยวด้วยกัน โดยพิมพ์ชื่อคนที่ต่องการลงไปก็จะมีเฉพาะภาพที่เห็นหน้าชัด ๆ โผล่ขึ้นมาเท่านั้น บางทีภาพแบบอาร์ต ๆ ที่ถ่ายแบบหันหลังให้กล้องก็ดันไม่ยอมโชว์ขึ้นมา ต้องไปไล่ดูเอาเอง

 

ที่มา : AndroidAuthority