ใกล้ถึงวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Pixel 6 และ Pixel 6 Pro มือถือเรือธง Android พันธุ์แท้ของ Google แบบเต็มแก่แล้ว หลังจากออกมาเปิดเผยข้อมูลเรียกน้ำย่อยบางส่วนเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้มีผลคะแนน Geekbench เปิดเผยออกมา ระบุว่า ชิป Tensor ของ Pixel 6 Series มีโครงสร้างที่ต่างจากชิปเรือธงตัวอื่น ๆ แต่ยังคงใช้ ARMv8 เหมือนเดิม ทั้งที่ค่ายอื่นน่าจะขยับไปใช้ v9 กันหมดแล้ว

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าชิป Tensor เป็นชิปที่ทาง Google ได้ไปจับมือร่วมกับ Samsung ช่วยกันพัฒนาและผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 5 นาโนเมตรของฝ่ายหลัง เทียบเท่ากับขิปเรือธงตัวอื่น ๆ ในตลาดอย่าง A15 Bionic, Snapdragon 888+ หรือแม้กระทั่ง Exynos 2100 ของ Samsung เอง ทว่าในส่วนของ Configuration หรือการโครงสร้างของตัวชิป Tensor กลับแตกต่างจากชิปเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง ตรงที่ชิปตัวนี้มาแบบ 2+2+4 กล่าวง่าย ๆ คือ ใช้ CPU Prime Core 2x + Middle Core 2x + Power-Saving Core 4x

โดยโครงสร้าง 2+2+4 ของ Tensor ชิปที่เตรียมใช้ขับเคลื่อน Pixel 6 และ Pixel 6 Pro จะประกอบไปด้วย Cortex-X1 สองแกน ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 2.8GHz, CPU กลางไม่ระบุรุ่นอีกสองแกน 2.25GHz และ CPU ตัวประหยัดพลังงาน 4 แกน 1.8GHz ทดสอบกับแอป Geekbench ได้คะแนนมาดังนี้ Single-Core: 1,034 แต้ม และ Multi-Core: 2,756 แต้ม

ซึ่งคะแนนดังกล่าวถือว่าน้อง ๆ ชิปเรือธงของ OnePlus 9 Pro อย่าง Snapdragon 888 เลย ที่ได้คะแนนแบบ Single-Core ไป 1,097 แต้ม และ 3,566 แต้ม ตามลำดับ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีข้อมูลเผยว่าชิป Tensor จะมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ Snapdragon ซีรีส์ 700 เท่านั้น

และหากเทียบกับ Pixel 5 ที่ใช้ Snapdragon 765G เป็นตัวขับเคลื่อนล่ะก็ จะเห็นว่า Tensor ใน Pixel 6 และ Pixel 6 Pro ทำผลงานออกมาได้ดีกว่ามาก เพราะตอนนั้น Pixel 5 ได้คะแนนเพียง 588 และ 1,587 แต้มเท่านั้น (แต่ในแง่การใช้งานถือว่าปกตินะ ไม่ได้แย่หรือกระตุกอะไรแต่อย่างใด) คาดว่าที่ Tensor ทำคะแนนได้สูงขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะ Google ไปตีบวกซอฟต์แวร์อะไรสักอย่างเป็นแน่

สเปคชิปเซ็ต Tensor (Whitechapel) ของ Google ที่ใช้ขับเคลื่อน Pixel 6 และ Pixel 6 Pro

โดยลือกันว่า Google น่าจะนำเอา Pixel 6 และ Pixel 6 Pro มาเปิดตัวในช่วงวันที่ 19 เดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ไม่แน่เราอาจจะเห็นรายละเอียดของชิป Tensor ในงานวันดังกล่าวด้วย แถมช่วงก่อนหน้านี้มีราคาหลุดออกมาด้วย เริ่มต้น 649 ยูโร (ประมาณ 25,900 บาท) สำหรับรุ่นธรรมดา และ 899 ยูโร (ประมาณ 35,500 บาท) สำหรับรุ่น Pro

 

ที่มา: phonearena