HUAWEI WATCH FIT 3 เตรียมวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มิถุนายน 2567 นี้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเราก็ได้ลองใส่ ลองเล่นกันมาเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แถมทางทีมงาน DroidSans ยังมีโอกาสได้ไปเยือน HUAWEI Health Lab ห้องปฏิบัติการสุขภาพ วิจัยและพัฒนานาฬิกาสมาร์ทวอทช์กันถึงถิ่นที่เมืองตงกวน ประเทศจีน ซึ่งก่อนจะเป็นนาฬิกาอัจฉริยะให้เราได้สวมใส่ ต้องมีการทดสอบอะไรบ้าง เราจะพาไปชมกัน

ลองจับ ลองเล่น HUAWEI WATCH FIT 3

HUAWEI WATCH FIT 3 กลับมารอบนี้เรียกได้ว่ามีการปรับดีไซน์กันยกใหญ่ อย่างแรกที่แตกต่างจากรุ่นก่อนเลยคือหน้าปัดที่มาในดีไซน์แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส และได้หน้าจอ AMOLED ที่ขนาดใหญ่ขึ้น จาก 1.74 นิ้ว เป็น 1.82 นิ้ว ความละเอียดสูงขึ้น ความหนาแน่นของพิกเซลมากขึ้น และสว่างสู้แดดสุด ๆ ถึง 1,500 nits ทำให้เวลาใช้ในที่แดดจัด ๆ แล้วยังมองจอได้ถนัด

และที่สำคัญคือในรุ่นนี้ได้มีการอัปเกรดวัสดุตัวเรือนใหม่มาใช้เป็นวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอย ซึ่งนอกจากจะได้ความพรีเมียมแล้ว ยังทำให้นาฬิกาน้ำหนักเบาสุด ๆ เพียง 26 กรัม (ไม่รวมสาย) อีกทั้งยังบางกว่ารุ่นเดิมจาก 10.8 มม. เหลือเพียงแค่ 9.9 มม. เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าขนาดจอจะใหญ่ขึ้น แต่หน้าปัดก็ไม่ได้ใหญ่จนเกินไป คนข้อมือเล็ก ๆ ก็ยังใส่ได้สวยอยู่

นอกจากเรื่องจอที่ขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ในรุ่นนี้ยังได้เพิ่มปุ่มใหม่อย่าง Rotating Crown หมุดเม็ดมะยมที่สามารถใช้ควบคุมจอ เลื่อนเมนู ต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ แถมตัว UI/UX บน HarmonyOS 4.1 ยังมีการปรับโฉมยกใหญ่ให้เข้ากับหน้าจอแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส มากับตัวหนังสือที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าเดิมมาก ๆ

และที่สำคัญดีไซน์หน้าปัด Watch Face ของรุ่นนี้สามารถคัสตอม เปลี่ยนสีสัน และปุ่มช่วยเข้าถึงฟีเจอร์ลัดได้หลากหลาย อีกทั้งยังมีหน้าปัดมาใหม่อย่าง Bubble Shine ลูกโป่งบับเบิ้ล เลือกสีได้ตามใจชอบ, Fun Mood Watch Face คัสตอมอีโมจิตามอารมณ์ หรือ Time Illusion Watch Face เปลี่ยนหน้าจัดเป็นรูปทรงเรขาคณิตสนุก ๆ ได้ ส่วนใครที่ยังไม่ถูกใจก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดหน้าปัด Watch Face ได้ผ่านแอป HUAWEI Health กว่า 100 รูปแบบเลย

ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจบน HUAWEI WATCH FIT 3 นั้นมีทั้ง รองรับการโทรผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth โดยตัวนาฬิกามาพร้อมกับลำโพง และไมโครโฟนในตัว สามารถพูดผ่านนาฬิกาได้ทันทีเมื่อมีสายโทรเข้ามา นอกจากนี้ยังรองรับการฟังเพลง และควบคุมเพลงผ่านนาฬิกาได้โดยตรง รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Android และ iOS

ด้านฟีเจอร์สุขภาพก็มีให้แบบจัดเต็ม มีระบบ TruSeen 5.5 ที่สามารถตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, ตรวจจับออกซิเจนในเลือด (SpO2) ได้แม่นยำมากขึ้น เพราะมีการเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ มีระบบ TruSleep ตรวจจับการนอนได้ละเอียดยิ่งขึ้น ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ รวมกับระดับออกซิเจนในเลือด โดยสามารถดูข้อมูลวิเคราะห์แบบละเอียดได้ใน HUAWEI Health เลย

ส่วนโหมดการออกกำลังกายในรุ่นนี้มีมาให้มากกว่า 100 โหมดกีฬา รองรับการตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ 6 ชนิด มีโหมด Guided Fitness ที่จะโชว์แอนิเมชัน 3D พร้อมเสียงพากย์ภาษาไทยคอยแนะนำท่าทางในการวอร์มอัป และคูลดาวน์ก่อน และหลังออกกำลังกายให้ด้วย

เรื่องแบตเตอรี่ถือเป็นจุดแข็งที่สุดสำหรับ HUAWEI WATCH FIT 3 เพราะทางแบรนด์เคลมมาว่าใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 10 วัน ซึ่งจากที่ได้ทดลองใช้งานสั้น ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่เคลมไว้จริง ๆ เพราะใช้ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงค่ำ ๆ แบตเตอรี่ลดไปเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (ซึ่งถ้าเปิดโหมด Always-On Display ระยะเวลาการใช้งานก็อาจจะลดหลั่นตามกันไป)

ก่อนจะเป็นสมาร์ทวอทช์ HUAWEI ต้องผ่านการทดสอบอะไรบ้าง?

ก่อนจะเป็นสมาร์ทวอทช์ HUAWEI ที่เราได้ใช้งานกันนั้น จะต้องผ่านการทดสอบ และวิจัยจากห้องปฏิบัติการด้านสุขภาพ HUAWEI Health Lab เสียก่อน ซึ่งศูนย์วิจัยที่เรามานั้นเป็น 1 ในศูนย์ที่ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดจาก 3 แห่งทั่วโลกคือ HUAWEI Health Lab ในเมืองตงกวน ประเทศจีน

โดยทาง HUAWEI จับมือร่วมกับกระทรวงการกีฬาของประเทศจีนทุ่มเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อสร้างศูนย์วิจัยแห่งนี้ขึ้นมา มีพื้นที่ทั้งหมดครอบคลุมกว่า 4,680 ตารางเมตร โดยมีเป้าหมายเพื่อวิจัยพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพ และกีฬา รวมถึงวิจัย และค้นคว้าเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะของ HUAWEI ด้วย

ภายใน HUAWEI Health Lab เมืองตงกวน ประเทศจีนประกอบไปด้วยห้องปฏิบัติการ ทดลองหลากหลายรูปแบบ ทั้งห้องแล็บที่สามารถจำลองสภาวะที่ความสูง 6,000 เมตร สามารถจำลองอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -10 ถึง 40 องศาเซลเซียส รวมถึงจำลองความชื้นตั้งแต่ 35% – 95% RH เพื่อทดสอบความทนทานการใช้งานสมาร์ทวอทช์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ในสภาวะสุดโหด

ด้านใน HUAWEI Health Lab ยังมีลู่วิ่งสีส้มขนาดใหญ่ที่ภายในมีระบบ Three Dimentional Force Plate ตรวจจับการเคลื่อนไหวในขณะวิ่ง ทั้งในการวิ่งระยะสั้น ตรวจวัดการกระโดด และอื่น ๆ พร้อมประมวลผลข้อมูลออกมาเป็นรูปแบบ 3 มิติเพื่อการตรวจจับความเสี่ยงในขณะวิ่งให้ดีขึ้น

อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือสนามบาสเกตบอลที่มาในขนาดใหญ่เทียบเท่ากับสนามระดับมาตรฐานมืออาชีพ 28 x 15 เมตร ซึ่งภายในสนามจะมีกล้องตรวจจับความเคลื่อนไหว High-Speed Infrarated กว่า 28 ตัวรอบทิศทาง ตรวจจับความเคลื่อนไหวได้ในระดับมิลลิเมตร เพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ มาวิเคราะห์ และวิจัยกันต่อไป

นอกจากนี้ HUAWEI Health Lab มีห้องทดสอบกีฬาหลายรูปแบบทั้ง การปีนผาจำลองสูงกว่า 10.5 เมตร ห้องแล็บ Multifunctional sports ที่มากับลู่ขนาดยักษ์ ทดสอบได้ทั้งกีฬาจักรยาน สกี โรลเลอร์สเก็ต และอื่น ๆ รวมถึงมีห้องแล็บตีกอล์ฟจำลองที่มีระบบวิเคราะห์วงสวิง รวมถึงสระว่ายน้ำขนาด 5.02 x 2.52 x 1.6 เมตร ที่สามารถจำลองสภาวะของน่านน้ำในรูปต่าง ๆ ได้

เรียกโหมดกีฬามากกว่า 100 รายการที่อยู่บน HUAWEI WATCH FIT 3 หรือสมาร์ทวอทช์เรือนอื่น ๆ ของ HUAWEI นั้น ต้องมีการทดสอบด้วยเครื่องมือจำลองขั้นสูง ระบบจับการเคลื่อนไหว เพื่อนำข้อมูลผลลัพท์ต่าง ๆ มาวิจัย ก่อนที่จะมาอยู่บนสมาร์ทวอทช์ให้เราได้ใช้งานกันนั่นเอง

ราคา และการวางจำหน่าย

HUAWEI WATCH FIT 3 มีให้เลือก 6 สี โดย 4 สีแรกอย่างสีดำ, สีชมพู, สีเขียว, สีขาวจะใช้เป็นสายวัสดุ Fluoroelastomer วางจำหน่ายในราคา 3,990 บาท ส่วนอีก 2 สีอย่าง สีเทาสายไนลอน และ สีขาวสายหนังจะวางจำหน่ายในราคา 4,990 บาท

ตัวนาฬิกาจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป และเมื่อซื้อตั้งแต่วันที่ 1 – 30 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไปยังจะได้รับหูฟัง HUAWEI FreeBuds SE 2 สีขาว มูลค่า 1,499 บาทไปเลยฟรี ๆ ด้วย

ชมรีวิว HUAWEI WATCH FIT 3 เต็ม ๆ