HP อเมริกา ร่วมเทรนด์ Subscription Service ออกบริการใหม่ที่ชื่อว่า All-in-Plan ให้เช่าเครื่องพรินต์รายเดือน ส่งหมึกถึงหน้าบ้านทันทีเมื่อหมึกหมด ช่วยให้งานพรินต์เอกสารในครอบครัว และธุรกิจขนาดเล็กสะดวก และง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามบริการดังกล่าวมีการจำกัดปริมาณการพิมพ์ รวมถึงต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับพรินเตอร์ไว้ตลอด และมีค่าใช้จ่ายในการยกเลิกก่อนสัญญาที่ค่อนข้างสูง ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาช่วยให้สะดวกขึ้นจริงตามที่เคลมไว้รึเปล่า

เปิดตัว HP All-in-Plan บริการเช่าพรินเตอร์รายเดือน

HP All-in-Plan เป็นบริการให้เช่าเครื่องพรินต์รายเดือน และส่งหมึกพิมพ์ให้อัตโนมัติหากระบบตรวจพบว่าปริมาณหมึกในเครื่องพิมพ์เหลือน้อย พร้อมให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้งานผ่านทางโทรศัพท์ และแช็ตตลอด 24 ชั่วโมง และใช้งานครบ 2 ปี HP ยังอัปเกรดเปลี่ยนเป็นพรินเตอร์รุ่นใหม่กว่าให้ด้วย

โดยแพ็กเกจสามารถปรับแต่งได้ตามการใช้งาน เริ่มต้นที่ราคาประมาณ 6.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 250 บาท (ยังไม่รวมภาษี) ซึ่งราคานี้ผู้ใช้งานจะได้พรินเตอร์ HP Envy ไปใช้งาน พร้อมจำกัดการพิมพ์ที่ 20 แผ่น / เดือน ส่วนแพ็กที่แพงที่สุดจะได้เครื่อง HP OfficeJet Pro ไปใช้งาน พิมพ์ได้สูงสุด 700 แผ่นต่อเดือน ในราคา 35.99 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,300 บาท (ยังไม่รวมภาษี)

อย่างไรก็ตาม ในข้อกำหนดของบริการดังกล่าวระบุว่า ทาง HP จะไม่ครอบคลุมดูแลความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้ สินค้าและอะไหล่ต่าง ๆ ที่ไม่ได้มาจากทาง HP โดยตรง และไม่ครอบคลุมในกรณีที่ผู้ใช้งานใช้พิมพ์เกินโควตาตามที่แพ็กเกจกำหนดไว้

HP มีสิทธิ์มอนิเตอร์เครื่องพรินต์ตลอด

ถึงแม้ว่าบริการดังกล่าวจะเหมาะกับครอบครัว และธุรกิจเล็ก ๆ แต่สื่อนอกอย่าง arstechnica ก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวบริการ HP All-in-Plan มีข้อกำหนดที่น่ากวนใจอยู่หลายอย่างตามธรรมชาติของบริการแบบ Subscription Service เช่น HP ต้องการให้ผู้ใช้งานต่ออินเทอร์เน็ตกับพรินเตอร์ไว้ตลอดเวลา และสามารถเข้าถึงกิจกรรมการพรินต์ของผู้ใช้งานได้ทุกเมื่อ

โดยทาง HP ได้ระบุในเงื่อนไขการใช้งาน (Term of Service) ว่าทาง HP มีสิทธิ์หยุดการให้บริการ หรือเรียกเก็บเงินเรื่อย ๆ หากพรินเตอร์ดังกล่าวไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยให้เหตุผลที่ HP บังคับให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น จะทำให้ HP สามารถตรวจสอบปริมาณหมึก, จำนวนงานที่พิมพ์ และหยุดการใช้งานที่ไม่พึงประสงค์

นอกจากนี้ทาง HP ยังสามารถตรวจสอบประเภทของเอกสารที่พิมพ์ เช่นชนิดไฟล์ PDF หรือ JPEG, ซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการสั่งพิมพ์ รวมถึงข้อมูลที่ทาง HP คิดว่าเกี่ยวกับระบบ Subscription ซึ่งไม่ได้ระบุอย่างแน่ชัดว่ามีข้อมูลส่วนใดบ้าง รวมถึงยังมีการส่งข้อมูลผู้ใช้งานเพื่อนำไปใช้ในการโฆษณา ซึ่งในส่วนนี้ผู้ใช้งานสามารถกดไม่ยินยอมได้

อย่างไรก็ตามการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ จะค่อนข้างมีเหตุผลในการให้บริการแบบรายเดือน แต่ผู้ใช้งานบางส่วนก็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงกังวลเรื่องการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่จะหยุดการทำงานของพรินเตอร์เมื่อตรวจพบว่ามีการใช้ตลับหมึกที่ไม่ใช่ตลับแท้ของทางแบรนด์นั่นเอง

เช่าพรินเตอร์รายเดือน สะดวกขึ้น จริงรึเปล่า?

CEO ของ HP เคยออกมากล่าวว่า “บริษัทได้ตั้งเป้าระยะยาวว่าจะเปลี่ยนระบบการพิมพ์ให้เป็นระบบจ่ายค่าบริการรายเดือน โดยเชื่อว่า All in Plan จะช่วยให้เรื่องพรินเตอร์เป็นเรื่องง่ายมากขึ้น” แต่จะง่ายขึ้นจริงรึเปล่า ก็มีหลายข้อสังเกตที่น่านำมาพิจารณากัน

HP ได้ตั้งข้อกำหนดสัญญาการใช้งาน All in Plan ไว้ 2 ปี หากผู้ใช้งานต้องการยกเลิกก่อนกำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับยกเลิกสัญญาเป็นจำนวนเงิน 60 – 270 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,000 – 10,000 บาท (ไม่รวมภาษี ขึ้นอยู่กับรุ่นพรินเตอร์ และระยะเวลาสัญญา) ซึ่งหากต้องการยกเลิกแบบไม่เสียค่าปรับจะต้องใช้งานให้ครบ 2 ปี หรือยกเลิกในช่วง 10 วันแรกเท่านั้น

ผู้ใช้งานยังต้องคอยนับจำนวนหน้ากระดาษที่พิมพ์ในแต่ละเดือนด้วยตัวเอง ซึ่งหากพิมพ์เกินจำนวนที่กำหนดไว้ ก็จะมีค่าบริการพิมพ์ที่ชาร์จเพิ่มขึ้นมาตามแพ็กเกจของผู้ใช้งาน เช่นหากสมัครแพ็กไว้ที่ 50 แผ่นต่อเดือน แล้วพิมพ์เกินจำนวน ก็จะโดนชาร์จเพิ่มที่ 1 เหรียญ / 10 แผ่น ซึ่งหากใครที่ใช้เครื่องพรินต์แบบปกติก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยเพราะจ่ายเพียงแค่ค่าเครื่องครั้งเดียวจบ กับค่าหมึกเติมจะพิมพ์เท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีจำกัด

นอกจากนี้ HP ยังไม่อนุญาตให้ผู้ใช้งานซื้อตลับหมึกมาเปลี่ยนเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นหมึกแท้ ๆ ของ HP ก็ตาม และถึงแม้ว่าจะจ่ายค่าบริการเป็นระยะเวลานาน ๆ ก็ไม่มีทางที่ผู้ใช้งานจะได้เป็นเจ้าของพรินเตอร์ดังกล่าว ซึ่งหากคำนวณดูแล้วผู้ใช้งานอาจจะต้องจ่ายเงินค่าบริการรวมแล้วมากกว่าจ่ายเงินซื้อเครื่องพรินต์เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ

และถึงแม้ว่า HP จะระบุว่าระบบนี้ช่วยช่วยลดขยะจากตลับหมึก เพราะมีบริการเปลี่ยนหมึกให้ และนำตลับเก่าไปรีไซเคิล แต่การอัปเกรดเครื่องพรินต์ให้ทุก ๆ 2 ปี ยังอาจเป็นอีก 1 ปัจจัยที่สนับสนุนการสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้มากขึ้นกว่าเดิมจากเครื่องพรินต์ที่ถูกปลดประจำการด้วย

โดยทาง arstechnica ได้ให้ความเห็นว่าระบบดังกล่าวไม่ได้แก้ไขปัญหาความยุ่งยากในการใช้งานเครื่องพรินต์เลย หากต้องการแก้ปัญหาให้ถูกจุดจริง ๆ HP ควรที่จะยกเลิกระบบ Dynamic Security ที่ผู้ใช้งานร้องเรียนกันเป็นประจำ เพราะระบบที่ว่านี้จะมีการอัปเดต Firmware เพื่อป้องกันการใช้ตลับหมึกที่ผลิตโดยบริษัทอื่น ๆ อยู่เป็นประจำ

ซึ่งหากระบบตรวจพบตลับหมึก Third Party หรือตลับเทียบ ตัวเครื่องพรินต์ก็จะปิดการทำงานบางฟีเจอร์ลง เช่นสั่งพิมพ์ไม่ได้ หรือไม่สามารถสแกนเอกสารได้ จนเกิดเป็นคดีความฟ้องร้องแบบกลุ่มที่สหรัฐฯ หลายต่อหลายครั้ง

ที่มา: arstechnica, HP