ปัญหาการลืมรหัสผ่านหรือ Password นับว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดอยู่แล้ว โดยเฉพาะรหัส Apple ID ที่ลืมเมื่อไหร่ กว่าจะรีเซ็ตกลับมาได้เรียกว่าต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนเลยทีเดียว แต่สำหรับ iOS 15 ที่พึ่งเปิดตัวไป จะเพิ่มฟีเจอร์ในการรีเซ็ต Apple ID แบบใหม่ที่ยังคงปลอดภัยอยู่ แต่มีวิธีที่ง่ายกว่าเดิม…แค่โทรหาเพื่อนหรือใครก็ตามที่เราไว้ใจเพื่อขอโค้ดมาปลดล็อค Apple ID เอาก็พอ

สำหรับฟีเจอร์โทรหาคนที่ไว้ใจเพื่อช่วยรีเซ็ตรหัสผ่าน Apple ID น่าจะช่วยให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์ iOS ที่ขี้ลืม มีความสะดวกสบายจากการรีเซ็ตรหัสง่ายกว่าเดิมเยอะเลย เพราะฟีเจอร์ดังกล่าวที่จะมาพร้อมกับ iOS 15 มีชื่อว่า Account Recovery จะอนุญาตให้ผู้ใช้ Apple ID เลือกผู้ติดต่อ (Contact) ที่ไว้ใจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวเพื่อมอบรหัสพิเศษสำหรับปลดล็อค Apple ID เอาไว้ให้โทรไปขอได้โดยตรง

ตัวอย่างการใช้งานก็คือ สมมุตว่าเราลืมรหัสล็อคหน้าจอ iPhone, iPad หรือ MacBook แถมยังลืมรหัส Apple ID เพื่อที่จะรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี ก็ให้ใช้ iPhone ของตัวเองโทรไปหาเพื่อน หรือคนในครอบครัวที่เราตั้งค่าเอาไว้เป็น Account Recovery Contacts จากนั้นจะมีโค้ดพิเศษสำหรับใช้ในการปลดล็อค Apple ID โผล่ขึ้นมาบน iPhone ของฝั่งที่เราโทรหา ก็ให้ฝั่งนั้นบอกโค้ดดังกล่าวมา เพื่อที่เราจะได้เอามากรอกปลดล็อคบัญชีตัวเอง จากนั้นระบบจะขอให้เราสร้าง Password ใหม่ขึ้นมาใช้แทนของเก่าเลย

และไม่ต้องห่วงว่าคนที่เราตั้งเป็น Account Recovery Contacts จะสามารถเข้าถึง Apple ID ของเราได้นะครับ เพราะเหล่า Account Recovery Contacts จะได้รับโค้ดพิเศษสำหรับใช้ปลดล็อค Apple ID เพื่อสร้างรหัสใหม่เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าสามารถเข้าถึง Password เดิมของเราได้ นอกจากนี้ Account Recovery Contacts จะต้องเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 13 ปี ขึ้นไป และต้องใช้ iPhone ระบบ iOS 15 เหมือนกันด้วย

เปิดตัว iOS 15 อัปเกรดเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ FaceTime, Messages, Photos, Maps และอื่น ๆ อีกเพียบ

ก็นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่จะเข้ามาช่วยให้การรีเซ็ต Password ทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยจริง ๆ โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ที่มักจะลืมรหัสผ่านอยู่บ่อย ๆ และมักจะรีเซ็ตรหัสผ่านไม่เป็น (อันนี้ประสบการณ์ส่วนตัว) โดยฟีเจอร์ดังกล่าวดังกล่าวจะมาพร้อมกับการอัปเดต iOS 15 ที่จะเริ่มปล่อยเวอร์ชั่นเต็มให้ได้ใช้กันในช่วงเดือนกันยายนนี้ครับ

 

ที่มา : CNET