ถึงคิวของ iFixit ที่จะนำ iPhone 13 Pro รุ่นใหม่ (เปิดให้จองในไทยวันนี้) มาชำแหละดูไส้ในต่าง ๆ ว่ามีฮาร์ดแวร์อะไรบ้าง จัดวางเป็นรูปแบบแบบไหน เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนอย่าง iPhone 12 Pro เบื้องต้นพบว่าการจัดวางแบตเตอรี่เปลี่ยนไป ยังมีวงแหวนแม่เหล็ก MagSafe แบบเดิม และแผงชิ้นส่วนเซ็นเซ็นกล้องและลอจิกบอร์ด
รอบนี้ iPhone 13 ย้ายสายเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ไปอยู่เกือบด้านบนของตัวเครื่อง ซึ่งอาจจะทำให้ขาดได้ระหว่างการซ่อม โดย Taptic Engine ที่ควบคุมการสั่นสะเทือนต่าง ๆ ของระบบตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง แต่เมื่อเทียบกับชิ้นส่วนอื่น ๆ รอบข้าง กลับมีขนาดที่หนากว่าเยอะ ชั่งแล้วได้ 6.3 กรัม หนักกว่ารุ่นก่อนหน้า (4.8 กรัม) เล็กน้อย
ลำโพงด้านบนของ iPhone 13 Pro รอบนี้ไม่ได้อยู่ติดกับหน้าจอแล้ว เลื่อนขึ้นไปอยู่บริเวณด้านบนของตัวพาแนลแทน ทำให้การเปลี่ยนจออาจจะทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดี ทาง iFixit แอบสังเกตเห็นว่า Apple ได้ใส่พาแนลจอ OLED ที่เชื่อมในส่วนของจอสัมผัสเข้ากับเลเยอร์ของจอ OLED แทน คาดว่าในส่วนนี้น่าจะเข้ามาช่วยลดต้นทุน ความหนา และจำนวนสายต่าง ๆ ไม่ต้องพันกันให้ยุ่งยาก
สาเหตุที่ Apple สามารถทำให้รอยบาก หรือ Notch ของ iPhone 13 Pro และรุ่นอื่น ๆ เล็กลง เป็นเพราะบริษัทฯ ได้ควบรวมเซ็นเซอร์สำคัญ ๆ ของ Face ID เข้ามาด้วยกัน ทำให้ฮาร์ดแวร์ชิ้นดังกล่าวมีขนาดเล็กลง อีกทั้งในตอนนี้ Apple ได้นำ Face ID แยกออกมาจากชิ้นส่วนพาแนลจอด้วย ให้มาอยู่บนรอยบากกับกล้องหน้าแทน
iFixit เผยว่า แม้ว่า Face ID กับพาแนลจอจะคนละชิ้นส่วนกัน แต่การเปลี่ยนหน้าจอ (โดย 3rd party) จะทำให้ฟีเจอร์ Face ID ไม่สามารถใช้งานได้ ดังนั้นการซ่อมดังกล่าวต้องทำผ่านพนักงานของ Apple หรือตัวแทนที่ได้รับการรับรองจากบริษัทฯ เท่านั้น
แบตเตอรี่ของ iPhone 13 Pro รอบนี้เปลี่ยนจากสี่เหลี่ยมมุมฉาก มาเป็นรูปตัว L มีความจุ 3,095 mAh โดย iFixit บอกว่า พวกเขาได้ลองทดสอบเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้ว ทุกอย่างใช้งานได้ปกติ แม้ว่าจะมีลือ ๆ กันว่า การเปลี่ยนแบตเตอรี่บน iPhone 13 ปีนี้ไม่สามารถทำได้ (ด้วยตัวเอง)
iPhone 13 Pro Max ใช้ RAM ของ SK Hynix แบบ LPDRR4X ขนาด 6GB และมีชิป power management และ UWB ที่ Apple ออกแบบขึ้นมาเอง NAND จาก Kioxia โมดูล Front-End จาก Broadcom และ NFC จาก NXP Semiconductor นอกจากนี้ยังมีโมเด็ม SDX60M ที่ iFixit เชื่อว่าเป็นตัวเดียวกับตัวรับสัญญาณ DRR868 5G RF ของ Qualcomm นั่นเอง
โดยตามที่นักวิเคราะห์สุดแม่นอย่าง Ming-Chi Kuo บอกเอาไว้ โมเด็มดังกล่าวจะเข้ามาทำให้ iPhone 13 สามารถใช้งานระบบโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมได้ ส่งข้อความ โทรเข้าออกได้แม้ไม่มีสัญญาณ ทว่าในงานเปิดตัว California Streaming ทาง Apple ก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดอะไรเอาไว้อย่างชัดเจน
สุดท้ายแล้ว iFixit ตัดสินใจให้คะแนนความยากง่ายของการซ่อมแซม iPhone 13 Pro เอาไว้ที่ 5/10 เท่านั้น เนื่องจากปัญหา Face ID ใช้งานไม่ได้ หากแกะเปลี่ยนจอมั่วซั่วนั่นเอง
ที่มา: iFixit | MacRumors
ข้ออ้างรักษ์โลก เช่น ใช้กล่องกระดาษ ไม่แถมที่ชาร์จ แต่คุณทำมือถือให้ซ่อมได้ยาก นี่ผมมองว่าเหมือนไม่จริงใจใจสิ่งที่พูดครับ