ในแถลงผลประกอบการณ์ประจำไตรมาส 2 ของ Apple มีประเด็นน่าสนใจหลัก ๆ อยู่ 2-3 ประเด็น หนึ่งในนั้นคือการที่ Apple ฟันรายได้ไปทั้งสิ้น 97,278 ล้านดอลลาร์ สูงที่สุดเป็นสถิติใหม่หากนับเฉพาะไตรมาสเดียวกันจากปีก่อน ๆ แต่ในขณะเดียวกัน Tim Cook ระบุว่า รายรับของบริษัทฯ อาจหดหายไป 4 ถึง 8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ด้วยเหตุนี้ประกอบกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจหลาย ๆ อย่างในปัจจุบัน ทำให้มีนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า iPhone 14 อาจมีราคาสูงขึ้นนอกสหรัฐฯ
Tim ได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายรับของ Apple ในไตรมาส 3 เอาไว้หลัก ๆ เป็นจำนวน 5 ข้อด้วยกัน ดังนี้
- การขาดแคลนชิ้นส่วนจากปัญหาซัปพลายเชน (ซึ่งเป็นตัวฉุดยอดขายสินค้ากลุ่ม iPad ในไตรมาส 2 เช่นกัน)
- การล็อกดาวน์ในจีน จากมาตรการซีโรโควิด ที่พยายามจะกดตัวเลขผู้ติดเชื้อให้เหลือ 0 คน ทำให้สูญเสียกำลังการผลิต เพราะโรงงานสำคัญ ๆ หลายแห่งต้องปิดชั่วคราว
- มาตรการแซงก์ชันรัสเซียกรณีสงครามในยูเครน โดยระงับการขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ในรัสเซีย
- ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ทำให้อุปสงค์ของผู้บริโภคลดต่ำลง
- ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในระยะยาว
สำหรับข้อสุดท้าย เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม iPhone 14 จึงมีราคาแพงขึ้นเฉพาะนอกสหรัฐฯ อธิบายคือ ต่อให้ Apple ตั้งราคา iPhone 14 ออกมาเท่าเดิม แต่พอแปลงเป็นหน่วยเงินต่างประเทศแล้วส่วนต่างมันมากกว่าเก่า ลูกค้าก็ต้องควักเงินมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
อันที่จริงนักวิเคราะห์บอกว่า ไม่ใช่แค่ iPhone 14 หรอก ที่มีแนวโน้มจะมีราคาแพงกว่าเดิม แต่เป็นสินค้าของ Apple ทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแต่จังหวะเวลาของสถานการณ์เหล่านี้ มันดันไปตรงกับช่วงที่ iPhone 14 จะเปิดตัวและวางจำหน่ายพอดีนั่นเอง ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงประมาณเดือนตุลาคมหรือกันยายนครับ
ลองดูว่า ระหว่างเอากำไรเท่าเดิม แต่ยอดน่าจะตก กับลดกำไรในต่างประเทศลงหน่อยให้ได้ราคาขายใกล้เดิม แต่ยอดขายพอไปได้ เอาอันไหน
ออกรุ่นไหนมา ไม่ว่าจะราคาไหน ก็ขายดีเหมือนเดิม สาวกเหนียวแน่นจริงๆ
ถ้าไม่ได้ตาม จะแขวะเอามันส์ ผมเติมความรู้ใส่สมองให้นะครับ ปีที่เปิดแพงมาก iPhone XR Xs ปีนั้นยอดขายตกมากนะครับ จำใส่สมองไว้ว่า คนใช้ของแอปเปิ้ลไม่ได้หลับหูหลับตาซื้อ แบบที่พวกชอบแขวะหลับหูหลับตาแขวะครับ