ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์ Apple หลายตัวที่เปิดตัวมาต่างได้รับการเรียกร้องให้ใส่ฟีเจอร์ Fast Charge มาโดยตลอด แต่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าอุปกรณ์หลายชิ้นความจริงแล้วต่างรองรับทั้งสิ้น เพียงแค่ Apple ไม่ได้แถมอุปกรณ์มาให้ในกล่อง จนมาถึง iPhone 11 Pro ที่วางจำหน่ายพร้อมสายและอะแดปเตอร์ Fast Charge และลองนำเอาไปใช้กับอุปกรณ์ชิ้นอื่นดูจึงพบว่ามันชาร์จเร็วน่าดู แถมรองรับกำลังไฟได้มากกว่าที่คิดอีกด้วย

iPhone และ iPad หลายรุ่นรองรับ Fast Charge?

หลายคนอาจเข้าใจว่า iPhone 11 ทั้งสามรุ่นรองรับ Fast Charge ได้สูงสุด 18W เท่ากับหัวชาร์จที่แถมมาให้ในกล่องของ iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max (iPhone 11 ธรรมดาจะไม่มีแถมอะแดปเตอร์ชาร์จเร็วมาให้) แต่เราก็แอบสงสัยว่า Apple ทำให้ iPhone 11 รองรับการชาร์จไฟแบบ PD ทั้งที จะทำมาให้รองรับ 18W มันก็จะดูน้อยไปหน่อยหรือเปล่า และได้ยินมานานแล้วว่าตั้งแต่ iPhone X เป็นต้นมา ตัวเครื่องรองรับ Fast Charge จึงขอลองนำอุปกรณ์หลายตัวมาทดสอบด้วยที่ชาร์จไว ทั้งจากหัวชาร์จ 18W ของ iPhone 11 Pro เอง และนำเอาหัวชาร์จอื่นที่จ่ายไฟได้แรงกว่า ทั้งของ Apple เอง และค่ายอื่นที่รองรับมาตรฐาน PD เหมือนกัน มาร่วมวงทดสอบ หาคำตอบให้ได้ทราบกัน โดยอุปกรณ์ที่เราขนมาทดสอบนี้ ได้แก่

  1. iPad 7th (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 10W)
  2. iPad Air 3 (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 10W)
  3. iPad mini 5 (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 10W)
  4. iPhone 11 Pro Max (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 18W)
  5. iPhone X (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 5W)
  6. Galaxy Note10+ (ในกล่องแถมหัวชาร์จ 25W) สเปครองรับได้สูงสุด 45W

หัวชาร์จที่ใช้ทดสอบ

เรียงจากซ้ายไปขวา เป็นอะแดปเตอร์ของ

  • iPhone 11 Pro Max จ่ายไฟสูงสุด 18w ตัวเสียบเป็น Type C
  • Galaxy Note10+ จ่ายไฟสูงสุด 25w ตัวเสียบเป็น Type C
  • Samsung Wireless Charger Duo Pad จ่ายไฟสูงสุด 25w ตัวเสียบเป็น Type A
  • MacBook Pro 2017 จ่ายไฟสูงสุด 61w ตัวเสียบเป็น Type C

สายที่ใช้ทดสอบ

เรียงจากซ้ายไปขวา เป็นสายชาร์จของ

  • iPhone 11 Pro Max ของแท้
  • iPad Air 3 ของแท้
  • Galaxy Note10+ ของแท้
  • Baseus Golden Belt USB 3.0

มิเตอร์ที่ใช้วัดการจ่ายไฟ

วิธีการทดสอบชาร์จไว iPhone | iPad ว่ารองรับไฟกี่วัตต์

ในตารางด้านล่างจะเป็นผลการทดสอบจับคู่ระหว่างเครื่อง สายชาร์จ และหัวชาร์จ ของแต่ละอันเข้าด้วยกัน โดยเสียบผ่านตัววัดกระแสไฟ ซึ่งค่าจะมีความแปรผันตลอดเวลา ไม่ได้มีค่า V และ A นิ่งเสถียร โดยเราจะดึงเอา ณ เวลาที่มีการจ่ายไฟสูงสุดมาคำนวณเป็นค่า Watt ให้ดูกันว่าตัวเครื่องต่างๆ รองรับกำลังไฟที่สูงสุดได้ประมาณเท่าไหร่

อุปกรณ์วัดกำลังไฟเสียบคั่นระหว่าง adapter และสายชาร์จ เพื่อตรวจสอบกระแสที่ไหลผ่าน ค่าที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อย แต่พอจะเห็นผลลัพธ์ที่ได้ในระดับหนึ่ง

วิธีการคำนวณหาค่าวัตต์ในตารางเป็น ค่าโวลต์(V) x แอมป์(A) = วัตต์(W) ซึ่งค่าที่ได้อาจมีการคลาดเคลื่อน บวกลบจากความเป็นจริง รวมถึงตัวเลขจากอุปกรณ์วัดไฟจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และกระแสไฟที่ผ่านเข้าเครื่องจะน้อยลงอย่างมีนัยหากแบตมีการชาร์จไฟถึงจำนวนหนึ่ง โดยเราจะนำเอาผลลัพธ์ที่ได้จากกำลังไฟสูงสุดเท่าที่อุปกรณ์แสดง มาคำนวณค่าวัตต์ให้เห็นในตารางด้านล่าง

และเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างช่องแรกบนซ้ายสุดคือ iPad Air 3 ใช้หัวชาร์จของ iPhone 11 Pro Max และสายชาร์จของ iPhone รองรับชาร์จไวสูงสุด 17.46W

ตารางทดสอบชาร์จไว iPhone | iPad และ Note10+

iPad Air 3iPad mini 5iPhone 11 Pro MaxGalaxy Note10+
ที่ชาร์จ iPhone 11 Pro Max 18w

(Type C)

17.46w

  • สาย iPhone แท้
17.4w

  • สาย iPhone แท้
17.64w

  • สาย iPhone แท้
14.62w

  • สาย Note10+ แท้
ที่ชาร์จ Galaxy Note10+ 25w

(Type C)

25.3w

  • สาย iPhone แท้
21.64w

  • สาย iPhone แท้
22.83w

  • สาย iPhone แท้
23.83w

  • สาย Note10+ แท้
ที่ชาร์จ Wireless Charger 25w

(Type A)

4.5w

  • สาย iPad แท้
4.75w

  • สาย iPad แท้
4.91w

  • สาย iPad แท้
12.21w

  • สาย Baseus
ที่ชาร์จ MacBook Pro 2017 61w

(Type C)

26.67w

  • สาย iPhone แท้
18.73w

  • สาย iPhone แท้
23.04w

  • สาย iPhone แท้
11.19w

  • สาย Note10+ แท้

จากผลลัพธ์ที่ได้ จะสังเกตได้ว่าตัวเลขกำลังไฟมักจะน้อยกว่าตัวเลขที่น่าจะเป็นเสมอ เช่น Galaxy Note 10+ ที่ชาร์จกับหัวชาร์จตัวเองจะได้กำลังไฟสูงสุดเกือบ 24W เท่านั้น หรือ iPhone 11 Pro Max ที่ใช้หัวชาร์จตัวเองเช่นกัน ก็จะได้ไฟเกือบ 18W ซึ่งเราน่าจะพอสันนิษฐานได้ว่า ตัวเลขกำลังไฟที่อุปกรณ์วัดได้นั้นอาจจะค่าความคลาดเคลื่อนน้อยกว่าความเป็นจริงราว 0.5-2W ก็เป็นได้

รูปผลทดสอบทั้งหมด

ผลการทดสอบชาร์จไว iPhone X และ iPad Gen 7th

สำหรับผลการทดสอบ iPhone X และ iPad Gen 7th ทีมงานได้ทำการแยกออกมา เพื่อไม่ให้ข้อมูลในตารางมีมากเกินไปจนดูยาก ซึ่งเท่าผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ iPhone X และ iPad Gen 7th กับหัวชาร์จ Samsung 25W ใช้สายชาร์จของ iPhone 11 ผลลัพธ์ที่ได้คือ

  • iPhone X รองรับชาร์จไวสูงสุด 13.24W หรือตีกลมๆ ก็ประมาณ 15W
  • iPad Gen 7th รองรับชาร์จไวสูงสุด 11.89 หรือตีกลมๆ ก็ประมาณ 13W

*ข้อสังเกตคือตัว iPhone X สามารถรองรับ Volt ได้ถึง 9.01V และ Ampere 1.47A ส่วน iPad Gen 7th ได้ค่า Volt แค่ 5.04V แต่ได้ค่า Ampere สูงถึง 2.24A

ทำอย่างไรให้ iPhone และ iPad รองรับ Fast Charge

จากข้อมูลตารางด้านบนถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว โดยอุปกรณ์ของ Apple ที่นำมาทดสอบหลายตัวสามารถรองรับชาร์จไวได้เกิน 18W ทั้ง iPad Air 3, iPad mini 5 และ iPhone 11 Pro Max แต่การจะชาร์จให้ได้กระแสไฟแรงนั้น บางตัวไม่สามารถใช้อุปกรณ์ที่แถมมาในกล่อง ซึ่งถ้าสรุปแล้วอุปกรณ์ที่จำเป็นหลักๆคือ

  • อะแดปเตอร์หัวชาร์จต้องเป็นแบบ USB PD (หัว Type C)
  • สายชาร์จต้องได้มาตรฐานแบบเดียวกับของแท้ เป็นหัว USB Type C to Lightning เท่านั้น

ข้อควรระวัง ทีมงานเคยเจอมาว่าสายชาร์จแม้จะเป็น USB Type C to Lightning แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะชาร์จเข้าหรือชาร์จไว หากสายนั้นไม่มาตรฐาน หากใครต้องการจะซื้อสาย USB Type C to Lightning ควรตรวจสอบอ่านรีวิวให้ชัดว่ารองรับแน่รึเปล่า เช่นเดียวกับหัวชาร์จ หรือ Charging Hub ที่บางตัวแม้จะมีช่องชาร์จแบบ Type C แต่ก็ไม่สามารถชาร์จเร็วเข้า iPhone หรือ iPad ได้เช่นกัน

ทดสอบ iPhone 11 ชาร์จด้วยหัวชาร์จ 25W เร็วขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน?

หลังจากที่ผลสรุปออกมาว่า iPhone 11 Pro Max รองรับการชาร์จไวสูงสุด 25W ทีมงานเลยสงสัยและทำการทดสอบต่อว่า หากเราจะชาร์จแบตจาก 0 ถึง 100% โดยใช้อะแดปเตอร์เดิม (18W) เทียบอะแดปเตอร์ของ Note10+ (25W) อันไหนจะชาร์จเร็วกว่ากัน ซึ่งผลที่ได้จะแบ่งเป็นช่วงเวลา ให้เห็นว่าแต่ละอุปกรณ์ชาร์จแบตได้กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละนาที

  • รูปด้านซ้าย แต่ละอุปกรณ์จะใช้แดปเตอร์แท้เดิมจากกล่อง (18W)
  • รูปด้านขวา iPhone 11 Pro Max จะใช้อะแดปเตอร์ของ Note10+ (25W)

10 นาทีแรก

30 นาที

60 นาที

1 ชั่วโมง 30 นาที

ชาร์จเต็ม 100%

ทุกเครื่องหลังชาร์จได้แบตได้มากพอจะมีการลดกำลังไฟลง ไม่ชาร์จแบตเต็มกำลังเพื่อทำการถนอมแบต

สรุป iPhone 11 ควรซื้อหัวชาร์จที่แรงกว่ามาใช้หรือไม่?

จากผลทดสอบแม้ว่า iPhone 11 Pro Max และอุปกรณ์ Apple ที่นำมาทดสอบ จะรองรับการชาร์จไวสูงสุด 25W แต่ก็ใช่ว่าจะชาร์จเร็วกว่าอะแดปเตอร์ 18W มากมาย เพราะจากผลทดสอบข้างต้นใช้หัวชาร์จ 25W ชาร์จแบตจาก 0 ถึง 50% ใช้เวลาต่างกันไม่กี่นาที และเมื่อชาร์จไปราว 1 ชม. ก็ได้แบตมาใช้ราว 80% แล้ว และหากชาร์จถึง 100% ใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที เร็วกว่าที่ชาร์จธรรมดา(18W) แค่ 8 นาทีเท่านั้น โดยระหว่างการชาร์จจะเห็นความต่างว่าหัว 25W จะเร็วกว่ากันแค่ราว 1-2% ซึ่งน่าจะไม่สมเหตุสมผลนักที่จะต้องซื้อที่ชาร์จใหม่เพื่อการชาร์จเร็วกว่าเดิมแค่ไม่กี่นาที แต่สำหรับใครที่ใช้งาน MacBook Pro และมีหัวชาร์จแบบนี้อยู่แล้ว ชาร์จครั้งต่อไปแทนที่จะหยิบหัวชาร์จของ iPhone 11 เองมาใช้ ก็ลองหยิบเป็นของ MacBook Pro มาแทนก็น่าจะดีกว่าครับ

สรุปการใช้ Fast Charge หรือ ชาร์จไว นั้นหากจะคำนึงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องดูด้วยกัน 3 อย่างคือ ตัวเครื่องรองรับได้เท่าไร, หัวชาร์จปล่อยไฟแรงแค่ไหนและรองรับกับเครื่องนี้หรือไม่ เป็น USB PD เวอร์ชันอะไร รองรับ PPS ไหม และสุดท้ายคือสายชาร์จที่ใช้รองรับด้วยหรือเปล่า ซึ่งแนะนำหากเอาแบบสบายใจ ได้ชาร์จไวแบบเต็มสเปคที่แท้จริงใช้ของแท้ทั้งหมดเลยก็น่าจะดีกว่า โดยเฉพาะสายชาร์จหากใช้พวกเส้นละ 20-60 บาท ร่วมกับพวกหัวชาร์จไวแบบวัตต์สูงๆ บอกเลยว่ามีความเสี่ยง ถ้าร้ายแรงหน่อยก็อาจจะเจอปัญหาสายไหม้ได้ จะซื้อของถูกๆประหยัดๆ ยังไงก็คำนึงเรื่องความปลอดภัยกันให้ดีด้วยนะครับ

 

*ของแถม*

ทำไม Galaxy Note10+ ใช้ที่ชาร์จ 61W ของ MacBook Pro 2017 ถึงได้น้อย

ตามผลการทดสอบข้างต้น เมื่อเรานำเอา Galaxy Note 10+ ชาร์จแบตด้วยหัวชาร์จ MacBook Pro ที่สามารถจ่ายไฟได้แรงถึง 61W แต่ผลที่ได้ออกมากลับได้เพียงจิ๋วๆ ไม่ถึง 15W เลยซะด้วยซ้ำ หลายคนก็น่าจะงงว่าเกิดจากอะไร และระบบการชาร์จที่เราทดสอบนี้มีปัญหาตรงไหน ซึ่งก็ต้องไปดูที่อุปกรณ์ในการชาร์จทั้งหมดก่อนว่าเป็นไปตามเงื่อนไขหรือไม่ โดยตัวหลักๆ 2 ส่วนคือ

  1. หัวชาร์จจ่ายไฟได้ 45W รองรับมาตรฐาน USB PD 3.0, รองรับ PPS (Programmable Power Supply)
  2. สายชาร์จต้องรองรับไฟ 5A ขึ้นไป

ซึ่งจากการทดสอบข้างต้นนี้ อุปกรณ์ที่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาที่สุดคงไม่พ้นสายชาร์จที่ใช้เพียงเส้นที่แถมมากับกล่องของ Galaxy Note 10+ เอง ซึ่งรองรับการจ่ายไฟเพียง 25W เท่านั้น หรืออีกกรณีนึงคือที่ชาร์จของ MacBook Pro 2017 นั้นไม่ได้ใช้มาตรฐาน USB PD 3.0 และรองรับ PPS ก็เป็นได้ ซึ่งทางเราจะทำการทดสอบให้อีกครั้งเพื่อหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้และมาอัพเดทในนี้ให้ได้ทราบกันครับ

ส่วนใครที่เล็งอยากได้หัวชาร์จ Samsung Super Fast Chrge 45W แบบที่ใช้งานได้แน่ๆ ตรงนี้ทาง Samsung เค้ามีขายของแท้ทั้งหัวชาร์จและสาย 5A อยู่ที่ 1,290 บาทนะครับ แต่ว่าคุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่นั้น ลองอ่านจากรีวิวด้านล่างนี้ต่อได้เลยครับ

Review | รีวิว Samsung Super Fast Charge 45W เร็วแรงแค่ไหน จำเป็นต้องซื้อหรือไม่